12 เมษายน 2556

ใครจะช่วยกลิ้งแผ่นหินออกไป?


นับจากวันอาทิตย์การคืนพระชนม์ไปอีก 7 สัปดาห์ ถึงวันอาทิตย์การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้น 50 วัน เป็นช่วงเวลาที่กระผมขอเรียกเอาเองว่า ฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์”  เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนรับการทรงเปลี่ยนแปลง เสริมสร้าง ชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตของตนอย่างเป็นรูปธรรม


อ่าน มาระโก 16:1-8


1 เมื่อ​วัน​สะบา​โต​ผ่าน​พ้น​ไป​แล้ว  มารีย์​ชาว​มัก​ดา​ลา  มารีย์​มาร​ดา​ของ​ยากอบ​พร้อม​กับ​นาง​สะ​โล​เม ไป​ซื้อ​เครื่อง​หอม​เพื่อ​จะ​นำ​ไป​ชโลม​พระ​ศพ​ของ​พระ​องค์
2 เวลา​รุ่ง​เช้า​วัน​อา​ทิตย์ พอ​ดวง​อาทิตย์​ขึ้น พวก​นาง​ก็​มา​ที่​อุโมงค์
3 และ​กำ​ลัง​พูด​กัน​อยู่​ว่า
ใคร​จะ​ช่วย​กลิ้ง​ก้อน​หิน​ออก​จาก​ปาก​อุโมงค์
 4 เพราะ​เป็น​หิน​ก้อน​ใหญ่ แต่​เมื่อ​พวก​นาง​มอง​ดู​ก็​เห็น​หิน​ก้อน​นั้น​กลิ้ง​ออก​ไป​แล้ว
(ข้อ 1-4 ฉบับมาตรฐาน)

เป้าหมายของกลุ่มสตรีที่ไปอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูก็เพื่อที่จะเอาเครื่องหอมไปชโลมพระศพพระเยซูคริสต์  ด้วยความเคารพรักต่อพระอาจารย์ของพวกเธอ   และเป็นการกระทำตามธรรมเนียมยิวในเวลานั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ในขณะเดินทางไปที่อุโมงค์  สตรีกลุ่มนี้มีปัญหาค้างคาใจที่ไม่รู้จะแก้อย่างไรคือ

“ใครจะช่วยกลิ้งแผ่นหินออกจากปากอุโมงค์”

แผ่นหินที่หนักและปิดขวางประตูเพื่อไม่ให้ใครเข้าออกอุโมงค์นั้น   เพราะพวกผู้นำศาสนายิวเกรงว่าสาวกจะมาลักพระศพของพระเยซูคริสต์   แล้วสร้างกระแสข่าวลือว่า  พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว   ยิ่งกว่านั้น     ปีลาตจัดให้ทหารมาเฝ้าเวรยามที่ปากอุโมงค์และบริเวณอุโมงค์  ตามการร้องขอของพวกผู้นำศาสนายิว   

หินใหญ่แผ่นนั้นที่ปิดปากอุโมงค์จะขัดขวางพวกเธอหรือไม่ อย่างไร?

พวกเธอไม่มีแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายหินแผ่นนั้น   เพื่อให้มีช่องพอที่พวกเธอจะมุดเข้าไปชโลมพระศพ

“แผ่นหินปิดปากอุโมงค์”   เป็นอุปสรรคก้อนโตที่ขวางกั้นมิให้พวกเธอสามารถทำภารกิจให้สำเร็จตามเป้าหมาย   “แล้วใครจะกลิ้งอุปสรรคที่หนักนี้ออกจากทางเข้าไปชโลมพระศพพระเยซูในอุโมงค์?”

แต่ก็น่าชื่นชมสตรีกลุ่มนี้นะครับ...   ถึงแม้ยังหาทางขจัดอุปสรรคที่ขวางความสำเร็จตามเป้าหมายไม่ได้  

แต่พวกเธอยังไปที่อุโมงค์!  

ต่างกับอีกหลายคน  หลายกลุ่มเมื่อประเมินเห็นชัดเจนว่า  เป้าหมายของภารกิจที่ตนต้องกระทำหาทางขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางยังไม่ได้   ก็จะเรียกระดมความคิด  จัดสัมมนา  เพื่อหาวิธีการขจัดอุปสรรคเหล่านั้นให้ได้ก่อน

แต่สตรีกลุ่มนี้เลือกที่จะเดินทางไปเผชิญหน้ากับอุปสรรค   ระหว่างทางพวกเธอปรึกษากันว่าใครจะเป็นผู้ขจัดปัญหาอุปสรรค   พวกเธอไม่มีคำตอบ   แต่พวกเธอเลือกเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับอุปสรรคนั้น   แม้อุปสรรคนั้นจะใหญ่โตเกินความสามารถที่พวกเธอจะจัดการได้ก็ตาม

แต่เมื่อพวกเธอไปถึงอุโมงค์   พวกเธอต้องแปลกใจ  ฉงน  เพราะสิ่งที่พวกเธอเห็นนั้นปรากฏว่า แผ่นหินใหญ่นั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว!   พวกเธอคงถามกันและกันว่า  “ใครกลิ้งแผ่นหินออกจากจากปากอุโมงค์?”   แต่ครั้งนี้ถามด้วยความฉงนสนเท่ห์  ถามด้วยความตื่นเต้น   และ ถามด้วยความชื่นชมยินดี   ซึ่งต่างกับความคิดความรู้สึกเมื่อถามครั้งแรกขณะเดินทางมาที่อุโมงค์   ที่พวกเธอถามด้วยความหนักใจ  ท้อแท้  สิ้นหวัง  และโศกเศร้า  หาทางออกไม่ได้

สตรีกลุ่มนี้ไม่ถูกความรู้สึกสิ้นหวังครอบงำความตั้งใจของพวกเธอ   พวกเธอมาที่อุโมงค์ตั้งใจมาชโลมพระศพพระเยซู   ทั้งๆ ที่ยังไม่มีทางออกว่า  “ใครจะกลิ้งแผ่นหินที่ขวางปากอุโมงค์ออกไป”   ที่สำคัญคือพวกเธอยังมาที่อุโมงค์   พวกเธอมิได้มาเพราะมีทางออกในการแก้ปัญหาอุปสรรคแล้ว  ไม่!   แต่พวกเธอมาเพราะความรักและผูกพันกับพระอาจารย์ของพวกเธอ   พวกเธอต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพระเยซูคริสต์ของพวกเธอ

สิ่งที่พวกเธอพบคือ  อุปสรรค สิ่งปิดกั้นพวกเธอจากพระคริสต์ถูกกลิ้งออก
ความตั้งใจของพวกเธอถูกเปลี่ยนแปลง
ความคิดความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้รับการแก้ไขทำให้ถูก
ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตครั้งนั้น เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเข้าใจใหม่  ความเชื่อใหม่  ภารกิจใหม่
ความโศกเศร้าสิ้นหวังกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี  ตื่นเต้น  และพลังใหม่ในชีวิต
เป้าหมายในชีวิตของพวกเธอเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่

บทเรียนแห่งความเชื่อศรัทธาที่เราได้จากเรื่องนี้คือ   ในวิกฤติและการจนตรอกของมนุษย์   เป็นโอกาสของพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์

ประการแรก   เมื่อคริสตชนต้องพบเจอกับอุปสรรคที่มาขวางทางสู่เป้าหมายชีวิต   อุปสรรคต้องไม่ทำให้เราหยุดและชะงักไม่ก้าวเดินต่อสู่เป้าหมาย   แต่ให้เราวางใจพระเจ้าแล้วมุ่งไปข้างหน้า   เผชิญกับความจริงที่เรายังไม่มีคำตอบหรือทางออก   ทั้งนี้เพราะเราจะพบพระเจ้าบนเส้นทางนั้น

ประการสอง   ในส่วนที่เกินความสามารถที่สตรีกลุ่มนี้จะรับมือและจัดการได้   พระเจ้าทรงรับผิดชอบในส่วนนั้น   พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์เป็นผู้กลิ้งแผ่นหินใหญ่นั้นออกจากปากอุโมงค์   พระองค์ก็จะทรงกระทำพระราชกิจเช่นนั้นในชีวิตของเราด้วย

ประการที่สาม   ซึ่งเป็นพระราชกิจสำคัญยิ่งกว่าการกลิ้งแผ่นหินออกจากปากอุโมงค์คือ   พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเชื่อ  ความเข้าใจใหม่  และเป้าหมายใหม่แก่พวกเธอ    จากการที่พวกเธอต้องการเข้าไปในอุโมงค์  เพื่อจะชโลมศพของพระองค์ด้วยความเคารพรัก   พวกเธอกลับไม่พบพระองค์   แต่กลับเรียนรู้ใหม่ว่า  พระองค์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว   และอุโมงค์ก็มิใช่ที่ประทับของพระองค์   จากการที่พวกเธอคาดหวังจะค่อยๆ เข้าไปในอุโมงค์ที่มืดมิด   แต่พวกเธอกลับเห็นทูตสวรรค์ชุดขาวพราวตาสว่างจ้า   จากการที่พวกเธอเตรียมตัวเตรียมใจที่มาอยู่ในความเศร้าโศกเมื่อมาชโลมพระศพพระอาจารย์   แต่พวกเธอกลับ “ตกตะลึง” (ข้อ 6) “พิศวงงงงวย” (ข้อ 8)

ประการที่สี่  พระเจ้าทรงมอบหมายภารกิจให้รับผิดชอบ   ทูตสวรรค์ให้พวกเธอไปบอกสาวกคนอื่นๆรวมทั้งเปโตรด้วยว่า   พระเยซูคริสต์จะเสด็จไปที่แค้วนกาลิลีก่อนพวกเขา   แล้วพวกเขาจะได้เห็นได้พบกับพระเยซูที่นั่น (ข้อ 7)

ประการสุดท้าย  เราต้องไม่ลืมว่า   ในชีวิตคริสตชนการจัดการปัญหาที่มีอยู่ และ ที่เกิดขึ้น   มิใช่การกีดกัน ขจัดให้อุปสรรคปัญหานั้นออกไป  หรือต่อสู้ขับเคี่ยวกับอุปสรรคปัญหานั้น    แต่คริสตชนจะ “เผชิญหน้า” กับอุปสรรคที่มาขวางทางเป้าหมายชีวิตของเราด้วยการเสริมเพิ่มความรักแบบพระคริสต์มากขึ้นในวิกฤติ อุปสรรค และปัญหาที่พบเจอ   เพราะในการเผชิญหน้าภาวะเช่นนี้มิใช่เราเป็นผู้เผชิญหน้าแต่เพียงลำพังผู้เดียว   แต่พระคริสต์ทรงเคียงข้าง และ ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์   และในพระราชกินนั้นเองที่พระองค์ทรงเสริมสร้างเราให้เติบโต แข็งแรง และเกิดผลในชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์   มิใช่ตามใจปรารถนาของเราครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น