นับจากวันอาทิตย์การคืนพระชนม์ไปอีก 7 สัปดาห์ ถึงวันอาทิตย์การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้น 50 วัน เป็นช่วงเวลาที่กระผมขอเรียกเอาเองว่า “ฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์” เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนรับการทรงเปลี่ยนแปลง
เสริมสร้าง ชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตของตนอย่างเป็นรูปธรรม
อ่าน มาระโก 16:1-8
1 เมื่อวันสะบาโตผ่านพ้นไปแล้ว
มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบพร้อมกับนางสะโลเม
ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระองค์
2
เวลารุ่งเช้าวันอาทิตย์ พอดวงอาทิตย์ขึ้น พวกนางก็มาที่อุโมงค์
3
และกำลังพูดกันอยู่ว่า
“ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์”
4 เพราะเป็นหินก้อนใหญ่
แต่เมื่อพวกนางมองดูก็เห็นหินก้อนนั้นกลิ้งออกไปแล้ว
(ข้อ 1-4 ฉบับมาตรฐาน)
เป้าหมายของกลุ่มสตรีที่ไปอุโมงค์ฝังพระศพพระเยซูก็เพื่อที่จะเอาเครื่องหอมไปชโลมพระศพพระเยซูคริสต์ ด้วยความเคารพรักต่อพระอาจารย์ของพวกเธอ และเป็นการกระทำตามธรรมเนียมยิวในเวลานั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ในขณะเดินทางไปที่อุโมงค์ สตรีกลุ่มนี้มีปัญหาค้างคาใจที่ไม่รู้จะแก้อย่างไรคือ
“ใครจะช่วยกลิ้งแผ่นหินออกจากปากอุโมงค์”
แผ่นหินที่หนักและปิดขวางประตูเพื่อไม่ให้ใครเข้าออกอุโมงค์นั้น เพราะพวกผู้นำศาสนายิวเกรงว่าสาวกจะมาลักพระศพของพระเยซูคริสต์ แล้วสร้างกระแสข่าวลือว่า พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ยิ่งกว่านั้น ปีลาตจัดให้ทหารมาเฝ้าเวรยามที่ปากอุโมงค์และบริเวณอุโมงค์ ตามการร้องขอของพวกผู้นำศาสนายิว
หินใหญ่แผ่นนั้นที่ปิดปากอุโมงค์จะขัดขวางพวกเธอหรือไม่
อย่างไร?
พวกเธอไม่มีแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายหินแผ่นนั้น เพื่อให้มีช่องพอที่พวกเธอจะมุดเข้าไปชโลมพระศพ
“แผ่นหินปิดปากอุโมงค์”
เป็นอุปสรรคก้อนโตที่ขวางกั้นมิให้พวกเธอสามารถทำภารกิจให้สำเร็จตามเป้าหมาย “แล้วใครจะกลิ้งอุปสรรคที่หนักนี้ออกจากทางเข้าไปชโลมพระศพพระเยซูในอุโมงค์?”
แต่ก็น่าชื่นชมสตรีกลุ่มนี้นะครับ... ถึงแม้ยังหาทางขจัดอุปสรรคที่ขวางความสำเร็จตามเป้าหมายไม่ได้
แต่พวกเธอยังไปที่อุโมงค์!
ต่างกับอีกหลายคน หลายกลุ่มเมื่อประเมินเห็นชัดเจนว่า
เป้าหมายของภารกิจที่ตนต้องกระทำหาทางขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางยังไม่ได้ ก็จะเรียกระดมความคิด จัดสัมมนา
เพื่อหาวิธีการขจัดอุปสรรคเหล่านั้นให้ได้ก่อน
แต่สตรีกลุ่มนี้เลือกที่จะเดินทางไปเผชิญหน้ากับอุปสรรค
ระหว่างทางพวกเธอปรึกษากันว่าใครจะเป็นผู้ขจัดปัญหาอุปสรรค พวกเธอไม่มีคำตอบ
แต่พวกเธอเลือกเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับอุปสรรคนั้น
แม้อุปสรรคนั้นจะใหญ่โตเกินความสามารถที่พวกเธอจะจัดการได้ก็ตาม
แต่เมื่อพวกเธอไปถึงอุโมงค์ พวกเธอต้องแปลกใจ ฉงน
เพราะสิ่งที่พวกเธอเห็นนั้นปรากฏว่า แผ่นหินใหญ่นั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว! พวกเธอคงถามกันและกันว่า “ใครกลิ้งแผ่นหินออกจากจากปากอุโมงค์?” แต่ครั้งนี้ถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ ถามด้วยความตื่นเต้น และ ถามด้วยความชื่นชมยินดี ซึ่งต่างกับความคิดความรู้สึกเมื่อถามครั้งแรกขณะเดินทางมาที่อุโมงค์ ที่พวกเธอถามด้วยความหนักใจ ท้อแท้
สิ้นหวัง และโศกเศร้า หาทางออกไม่ได้
สตรีกลุ่มนี้ไม่ถูกความรู้สึกสิ้นหวังครอบงำความตั้งใจของพวกเธอ พวกเธอมาที่อุโมงค์ตั้งใจมาชโลมพระศพพระเยซู ทั้งๆ ที่ยังไม่มีทางออกว่า “ใครจะกลิ้งแผ่นหินที่ขวางปากอุโมงค์ออกไป” ที่สำคัญคือพวกเธอยังมาที่อุโมงค์ พวกเธอมิได้มาเพราะมีทางออกในการแก้ปัญหาอุปสรรคแล้ว ไม่!
แต่พวกเธอมาเพราะความรักและผูกพันกับพระอาจารย์ของพวกเธอ พวกเธอต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพระเยซูคริสต์ของพวกเธอ
สิ่งที่พวกเธอพบคือ อุปสรรค
สิ่งปิดกั้นพวกเธอจากพระคริสต์ถูกกลิ้งออก
ความตั้งใจของพวกเธอถูกเปลี่ยนแปลง
ความคิดความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้รับการแก้ไขทำให้ถูก
ประสบการณ์ใหม่ในชีวิตครั้งนั้น
เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเข้าใจใหม่
ความเชื่อใหม่ ภารกิจใหม่
ความโศกเศร้าสิ้นหวังกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี ตื่นเต้น
และพลังใหม่ในชีวิต
เป้าหมายในชีวิตของพวกเธอเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
บทเรียนแห่งความเชื่อศรัทธาที่เราได้จากเรื่องนี้คือ ในวิกฤติและการจนตรอกของมนุษย์ เป็นโอกาสของพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์
ประการแรก เมื่อคริสตชนต้องพบเจอกับอุปสรรคที่มาขวางทางสู่เป้าหมายชีวิต อุปสรรคต้องไม่ทำให้เราหยุดและชะงักไม่ก้าวเดินต่อสู่เป้าหมาย แต่ให้เราวางใจพระเจ้าแล้วมุ่งไปข้างหน้า
เผชิญกับความจริงที่เรายังไม่มีคำตอบหรือทางออก ทั้งนี้เพราะเราจะพบพระเจ้าบนเส้นทางนั้น
ประการสอง
ในส่วนที่เกินความสามารถที่สตรีกลุ่มนี้จะรับมือและจัดการได้ พระเจ้าทรงรับผิดชอบในส่วนนั้น พระองค์ทรงให้ทูตสวรรค์เป็นผู้กลิ้งแผ่นหินใหญ่นั้นออกจากปากอุโมงค์ พระองค์ก็จะทรงกระทำพระราชกิจเช่นนั้นในชีวิตของเราด้วย
ประการที่สาม
ซึ่งเป็นพระราชกิจสำคัญยิ่งกว่าการกลิ้งแผ่นหินออกจากปากอุโมงค์คือ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเชื่อ ความเข้าใจใหม่ และเป้าหมายใหม่แก่พวกเธอ จากการที่พวกเธอต้องการเข้าไปในอุโมงค์ เพื่อจะชโลมศพของพระองค์ด้วยความเคารพรัก พวกเธอกลับไม่พบพระองค์ แต่กลับเรียนรู้ใหม่ว่า พระองค์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และอุโมงค์ก็มิใช่ที่ประทับของพระองค์ จากการที่พวกเธอคาดหวังจะค่อยๆ เข้าไปในอุโมงค์ที่มืดมิด แต่พวกเธอกลับเห็นทูตสวรรค์ชุดขาวพราวตาสว่างจ้า จากการที่พวกเธอเตรียมตัวเตรียมใจที่มาอยู่ในความเศร้าโศกเมื่อมาชโลมพระศพพระอาจารย์ แต่พวกเธอกลับ “ตกตะลึง” (ข้อ 6) “พิศวงงงงวย” (ข้อ 8)
ประการที่สี่ พระเจ้าทรงมอบหมายภารกิจให้รับผิดชอบ ทูตสวรรค์ให้พวกเธอไปบอกสาวกคนอื่นๆรวมทั้งเปโตรด้วยว่า
พระเยซูคริสต์จะเสด็จไปที่แค้วนกาลิลีก่อนพวกเขา แล้วพวกเขาจะได้เห็นได้พบกับพระเยซูที่นั่น
(ข้อ 7)
ประการสุดท้าย เราต้องไม่ลืมว่า ในชีวิตคริสตชนการจัดการปัญหาที่มีอยู่ และ
ที่เกิดขึ้น มิใช่การกีดกัน
ขจัดให้อุปสรรคปัญหานั้นออกไป หรือต่อสู้ขับเคี่ยวกับอุปสรรคปัญหานั้น แต่คริสตชนจะ “เผชิญหน้า”
กับอุปสรรคที่มาขวางทางเป้าหมายชีวิตของเราด้วยการเสริมเพิ่มความรักแบบพระคริสต์มากขึ้นในวิกฤติ
อุปสรรค และปัญหาที่พบเจอ เพราะในการเผชิญหน้าภาวะเช่นนี้มิใช่เราเป็นผู้เผชิญหน้าแต่เพียงลำพังผู้เดียว แต่พระคริสต์ทรงเคียงข้าง และ
ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์
และในพระราชกินนั้นเองที่พระองค์ทรงเสริมสร้างเราให้เติบโต แข็งแรง
และเกิดผลในชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์
มิใช่ตามใจปรารถนาของเราครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น