(1) รู้ข้อมูลคำสอนมิได้รับรองว่าชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ข้อมูล
คำสอนโดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของสมาชิกคริสตจักรให้เป็นสาวกของพระคริสต์ เพราะโดยความจริงแล้ว ชีวิตของคนเรานี้ช่างมีความห่างถ่างกว้างอย่างมากระหว่าง
“หัวคิด กับ จิตใจ” การสร้างสาวกของพระคริสต์มิใช่เป็นเพียงการดาวน์โหลดข้อมูลจาก
“อินเตอร์เน็ท” (พระคัมภีร์ ตำรา บทความ บทเรียน) มาอยู่ใน “เครื่องคอมพิวเตอร์” (สมอง
ความจำ) ของเราเท่านั้น
บ่อยครั้งเหลือเกินที่คริสตจักรสร้างสาวกของพระคริสต์ด้วยการเปิด “ชั้นเรียนสร้างสาวก” การสร้างสาวกเป็นเรื่องของชีวิต
เป็นการเสริมสร้างชีวิตจากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่ง
พระเยซูคริสต์ไม่เคยสร้างสาวกในห้องเรียนหรือห้องสี่เหลี่ยม (บางท่านสวนกลับว่า
ก็เพราะพระเยซูไม่มีห้องเรียนนั่นซิถึงไม่มีโอกาสได้สอนในห้องเรียน) เมื่อชีวิตหนึ่งทุ่มเทเพื่อเสริมสร้างอีกชีวิตหนึ่ง เมื่อนั้น
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและมีความหมาย ของการเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็เกิดขึ้น
(2) อย่าเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสตชนยาวนานจะเป็นคริสตชนที่เติบโต
คริสตชนอาจจะเป็นสมาชิกคริสตจักรเป็นเวลาที่ยาวนาน
แต่ผู้อื่นกลับไม่สามารถมองเห็นชีวิตของพระคริสต์ในชีวิตของคนๆ นั้นอย่างประจักษ์ชัดเจนได้ สมาชิกคริสตจักรอาจจะมารวมกันเหมือนชมรมคริสตชน แล้วก็มีชีวิตที่เป็น “คริสตชนเฒ่าทารก”
เท่านั้น มีคนเปรียบเทียบว่า
สมาชิกส่วนใหญ่ในคริสตจักรเป็นเหมือน “ฟองน้ำที่ซึมโชกไปด้วยน้ำ”
เขาเป็นสมาชิกคริสตจักรที่มานมัสการที่โบสถ์เกือบทุกอาทิตย์ และเป็นสมาชิกที่ “นั่งแช่” ในโบสถ์ เขาดูเหมือนเป็นคริสตชนที่ซึมซับน้ำ แล้วก็เปียกเพราะนั่งแช่ในบรรยากาศศาสนพิธีของคริสตจักรเท่านั้น
(3) ชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์มิได้วัดกันที่การเชื่อฟังเท่านั้น
เป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดว่า
“การวัดชีวิตที่เป็นสาวกองค์พระคริสต์วัดกันที่การเชื่อฟังเท่านั้น” เป็นความจริงว่า การเชื่อฟังและการมีชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเติบโตของจิตวิญญาณ และก็เป็นความจริงอีกว่าความเป็นสาวกมิใช่เพียง
“การรู้” เท่านั้น
แต่เราต้องประยุกต์ความรู้นั้น ให้เป็นการดำเนินชีวิต
มิเช่นนั้นแล้วก็จะมิใช่การเป็นสาวกของพระคริสต์ ในที่นี้ขอขยายความชัดเจนว่า เราไม่ต้องการการเชื่อฟังที่เกิดจากกฏบัญญัติด้วยความกลัว
แต่คริสตชนคนนั้นมีจิตที่เกาะกุมด้วยความรักเมตตาของพระกิตติคุณต่างหาก
(4) ไม่รับรองว่า คนที่มีท่าทีลักษณะเป็นคนดีน่านับถือ เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง
ใครก็สามารถทำตนให้เป็นคนที่ดูดี
แต่ชีวิตจริงอาจจะเป็นคนดูดีที่แสนเลวก็ได้ คนที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้มีชีวิตด้านจิตวิญญาณที่ดี เป็นผู้ที่ดูเหมือนมีความเฉียบไวแหลมคมในด้านจิตวิญญาณ แต่นั่นก็ไม่รับรองว่าเขามีชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์ เพราะคนเราสามารถสวมใส่หน้ากากเข้าหากันได้ และเราก็ต้องระวังด้วยว่า
คนที่ดูดีมักช่ำชองสันทัดในการทำให้คนอื่นหลงเชื่อ(หลอก) ได้ง่าย เพราะเป็นความจริงว่า
การดูดีที่ภายนอกมิได้บ่งชี้ชัดว่าภายในจิตใจของคนๆ นั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นสาวกของพระคริสต์แล้ว ขอย้ำว่า คนเราสามารถที่จะใส่หน้ากากเข้าหากัน
หรือ แสร้างทำทีว่าเป็นคนดี
การเป็นสาวกเป็นเรื่องที่เราเต็มใจที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากกว่าพฤติกรรมท่าทีที่ผู้คนสามารถมองเห็นจากภายนอกเท่านั้น แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลง พัฒนา
และรับการเสริมสร้างในส่วนลึกของชีวิตจิตใจต่างหาก
(5) การสร้างสาวกไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพในชั้นเรียน
ชั้นเรียนเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่เราอาจจะใช้ในการเสริมสร้างชีวิตสาวกของพระคริสต์
แต่มิใช่วิธีหรือกระบวนการหลักในการสร้างชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์
การเสริมสร้างชีวิตสาวกของพระคริสต์เป็นการเสริมสร้างชีวิตภายในที่ยุ่งเหยิงสับสน ซึ่งมิใช่จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปแทนที่ได้ ผู้คนต้องการมองเห็นว่าความเชื่อศรัทธา
พระกิตติคุณจะตัดผ่านประเด็นชีวิตเหล่านั้นอย่างไร
เป็นสิ่งที่ท้าทายและการเผชิญหน้าของชีวิต
สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถสอนในชั้นเรียนเท่านั้น
ประการสำคัญที่ผู้นำคริสตจักรต้องสำนึกคือ
กระบวนการสร้างสาวกพระคริสต์ ไม่ใช่กิจกรรม (หรือ ท่านจะเรียกว่าพันธกิจก็ได้)
ที่ผู้นำ หรือ ศิษยาภิบาลเป็นผู้กระทำเท่านั้น
แต่เบื้องหลังการขับเคลื่อนหลักต้องมาจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะถ้าเป็นเพียงการที่ผู้นำ หรือ
ศิษยาภิบาลพยายามสอนอย่างดี
โดยไม่มีการหนุนเสริมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ การสอนครั้งนั้นก็เป็นเพียงคำสอนข้อมูลที่เข้าไปในความนึกคิดของผู้เรียนเท่านั้น
แต่ถ้าการสร้างสาวกพระคริสต์ครั้งนั้น
เป็นการที่ศิษยาภิบาลหรือผู้นำร่วมในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เนื้อหาคำสอนนั้นจะมีพลังที่จะซึมซับเข้าในความนึกคิดและลงลึกเข้าในจิตใจของผู้เรียนคนนั้น
และนั่นคือก้นบึ้งที่มาของการเปลี่ยนแปลง เราสามารถเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้า ความคิดหลากหลาย หรือวิธีคิดหลายแนวทาง แต่เมื่อใดที่องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประสานเชื่อมต่อความคิดจิตใจของผู้เรียนคนนั้นกับพระวิญญาณของพระเจ้า เมื่อนั้น
จะเกิดความตระหนักชัดว่า
เนื้อหาสาระเหล่านั้นจะสามารถย่อยให้เป็นวิธีการที่ใช้ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างไร และที่สำคัญยิ่งคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพลังของคนๆ นั้นที่จะสามารถขับเคลื่อนเนื้อหาสาระเหล่านั้นเป็นชีวิตจิตใจของตนในการดำเนินชีวิตประจำวัน และนั่นคือกระบวนการพัฒนาชีวิตสาวกพระคริสต์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น