06 เมษายน 2556

สิ่งผิดพลาด 5 ประการในการสร้างสาวกพระคริสต์



(1) รู้ข้อมูลคำสอนมิได้รับรองว่าชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

ข้อมูล คำสอนโดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของสมาชิกคริสตจักรให้เป็นสาวกของพระคริสต์   เพราะโดยความจริงแล้ว   ชีวิตของคนเรานี้ช่างมีความห่างถ่างกว้างอย่างมากระหว่าง “หัวคิด กับ จิตใจ”   การสร้างสาวกของพระคริสต์มิใช่เป็นเพียงการดาวน์โหลดข้อมูลจาก “อินเตอร์เน็ท” (พระคัมภีร์ ตำรา บทความ บทเรียน) มาอยู่ใน “เครื่องคอมพิวเตอร์” (สมอง ความจำ) ของเราเท่านั้น   บ่อยครั้งเหลือเกินที่คริสตจักรสร้างสาวกของพระคริสต์ด้วยการเปิด “ชั้นเรียนสร้างสาวก”   การสร้างสาวกเป็นเรื่องของชีวิต เป็นการเสริมสร้างชีวิตจากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่ง    พระเยซูคริสต์ไม่เคยสร้างสาวกในห้องเรียนหรือห้องสี่เหลี่ยม   (บางท่านสวนกลับว่า ก็เพราะพระเยซูไม่มีห้องเรียนนั่นซิถึงไม่มีโอกาสได้สอนในห้องเรียน)   เมื่อชีวิตหนึ่งทุ่มเทเพื่อเสริมสร้างอีกชีวิตหนึ่ง   เมื่อนั้น การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและมีความหมาย ของการเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็เกิดขึ้น

(2) อย่าเข้าใจผิดว่า การเป็นคริสตชนยาวนานจะเป็นคริสตชนที่เติบโต

คริสตชนอาจจะเป็นสมาชิกคริสตจักรเป็นเวลาที่ยาวนาน   แต่ผู้อื่นกลับไม่สามารถมองเห็นชีวิตของพระคริสต์ในชีวิตของคนๆ นั้นอย่างประจักษ์ชัดเจนได้   สมาชิกคริสตจักรอาจจะมารวมกันเหมือนชมรมคริสตชน  แล้วก็มีชีวิตที่เป็น “คริสตชนเฒ่าทารก” เท่านั้น   มีคนเปรียบเทียบว่า สมาชิกส่วนใหญ่ในคริสตจักรเป็นเหมือน “ฟองน้ำที่ซึมโชกไปด้วยน้ำ” เขาเป็นสมาชิกคริสตจักรที่มานมัสการที่โบสถ์เกือบทุกอาทิตย์  และเป็นสมาชิกที่ “นั่งแช่” ในโบสถ์   เขาดูเหมือนเป็นคริสตชนที่ซึมซับน้ำ   แล้วก็เปียกเพราะนั่งแช่ในบรรยากาศศาสนพิธีของคริสตจักรเท่านั้น

(3) ชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์มิได้วัดกันที่การเชื่อฟังเท่านั้น

เป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดว่า “การวัดชีวิตที่เป็นสาวกองค์พระคริสต์วัดกันที่การเชื่อฟังเท่านั้น”   เป็นความจริงว่า การเชื่อฟังและการมีชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเติบโตของจิตวิญญาณ   และก็เป็นความจริงอีกว่าความเป็นสาวกมิใช่เพียง “การรู้” เท่านั้น   แต่เราต้องประยุกต์ความรู้นั้น ให้เป็นการดำเนินชีวิต   มิเช่นนั้นแล้วก็จะมิใช่การเป็นสาวกของพระคริสต์  ในที่นี้ขอขยายความชัดเจนว่า   เราไม่ต้องการการเชื่อฟังที่เกิดจากกฏบัญญัติด้วยความกลัว    แต่คริสตชนคนนั้นมีจิตที่เกาะกุมด้วยความรักเมตตาของพระกิตติคุณต่างหาก  

(4) ไม่รับรองว่า คนที่มีท่าทีลักษณะเป็นคนดีน่านับถือ เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง  

ใครก็สามารถทำตนให้เป็นคนที่ดูดี   แต่ชีวิตจริงอาจจะเป็นคนดูดีที่แสนเลวก็ได้   คนที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้มีชีวิตด้านจิตวิญญาณที่ดี   เป็นผู้ที่ดูเหมือนมีความเฉียบไวแหลมคมในด้านจิตวิญญาณ   แต่นั่นก็ไม่รับรองว่าเขามีชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์   เพราะคนเราสามารถสวมใส่หน้ากากเข้าหากันได้   และเราก็ต้องระวังด้วยว่า คนที่ดูดีมักช่ำชองสันทัดในการทำให้คนอื่นหลงเชื่อ(หลอก) ได้ง่าย  เพราะเป็นความจริงว่า การดูดีที่ภายนอกมิได้บ่งชี้ชัดว่าภายในจิตใจของคนๆ นั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นสาวกของพระคริสต์แล้ว   ขอย้ำว่า คนเราสามารถที่จะใส่หน้ากากเข้าหากัน หรือ แสร้างทำทีว่าเป็นคนดี   การเป็นสาวกเป็นเรื่องที่เราเต็มใจที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากกว่าพฤติกรรมท่าทีที่ผู้คนสามารถมองเห็นจากภายนอกเท่านั้น   แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลง  พัฒนา และรับการเสริมสร้างในส่วนลึกของชีวิตจิตใจต่างหาก

(5) การสร้างสาวกไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพในชั้นเรียน

ชั้นเรียนเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่เราอาจจะใช้ในการเสริมสร้างชีวิตสาวกของพระคริสต์   แต่มิใช่วิธีหรือกระบวนการหลักในการสร้างชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์   การเสริมสร้างชีวิตสาวกของพระคริสต์เป็นการเสริมสร้างชีวิตภายในที่ยุ่งเหยิงสับสน   ซึ่งมิใช่จะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปแทนที่ได้   ผู้คนต้องการมองเห็นว่าความเชื่อศรัทธา พระกิตติคุณจะตัดผ่านประเด็นชีวิตเหล่านั้นอย่างไร   เป็นสิ่งที่ท้าทายและการเผชิญหน้าของชีวิต   สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถสอนในชั้นเรียนเท่านั้น

ประการสำคัญที่ผู้นำคริสตจักรต้องสำนึกคือ

กระบวนการสร้างสาวกพระคริสต์   ไม่ใช่กิจกรรม (หรือ ท่านจะเรียกว่าพันธกิจก็ได้) ที่ผู้นำ หรือ ศิษยาภิบาลเป็นผู้กระทำเท่านั้น   แต่เบื้องหลังการขับเคลื่อนหลักต้องมาจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์   เพราะถ้าเป็นเพียงการที่ผู้นำ หรือ ศิษยาภิบาลพยายามสอนอย่างดี  โดยไม่มีการหนุนเสริมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   การสอนครั้งนั้นก็เป็นเพียงคำสอนข้อมูลที่เข้าไปในความนึกคิดของผู้เรียนเท่านั้น

แต่ถ้าการสร้างสาวกพระคริสต์ครั้งนั้น   เป็นการที่ศิษยาภิบาลหรือผู้นำร่วมในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์   เนื้อหาคำสอนนั้นจะมีพลังที่จะซึมซับเข้าในความนึกคิดและลงลึกเข้าในจิตใจของผู้เรียนคนนั้น   และนั่นคือก้นบึ้งที่มาของการเปลี่ยนแปลง    เราสามารถเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้า  ความคิดหลากหลาย  หรือวิธีคิดหลายแนวทาง  แต่เมื่อใดที่องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประสานเชื่อมต่อความคิดจิตใจของผู้เรียนคนนั้นกับพระวิญญาณของพระเจ้า   เมื่อนั้น  จะเกิดความตระหนักชัดว่า เนื้อหาสาระเหล่านั้นจะสามารถย่อยให้เป็นวิธีการที่ใช้ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างไร    และที่สำคัญยิ่งคือ  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพลังของคนๆ นั้นที่จะสามารถขับเคลื่อนเนื้อหาสาระเหล่านั้นเป็นชีวิตจิตใจของตนในการดำเนินชีวิตประจำวัน   และนั่นคือกระบวนการพัฒนาชีวิตสาวกพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น