26 เมษายน 2556

แก่นหลักของชีวิตคริสตชน


อ่านเอเฟซัส 1:15-16

“ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูเจ้า  
และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า  
ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน 
และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน” (อมตธรรม)

ถ้ามีคนมาขอท่านช่วยบอกถึงหัวใจความหมายของคำว่า “ชีวิตคริสตชน”  ท่านจะให้ความจำกัดความของคำว่า “ชีวิตคริสตชน” หรือ “ชีวิตคริสเตียน” ว่าอย่างไร?   คำจำกัดความที่สั้น กะทัดรัด และกินความครอบคลุมความหมายที่ครบถ้วนที่สุดของท่านคืออะไร?

เปาโลได้ให้ความจำกัดความชีวิตคริสตชนไว้อย่างกะทัดรัดใน เอเฟซัส 1:15 ไว้ว่า

คือผู้ที่มี...“ความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์เจ้าและความรักที่มีต่อประชากรของพระองค์”  หรือสกัดลงเหลือเพียงสั้นๆ ว่า “เชื่อและรัก”

ถ้าเราจะพิจารณาข้อเขียนในจดหมายฉบับอื่นๆ ของเปาโลเราจะพบว่า มีอีกคำหนึ่งคือ  “ความหวัง” ในคำจำกัดความคำว่าชีวิตคริสตชนของเปาโลด้วย เช่น ใน 1โครินธ์ 13:13 “...ความเชื่อ ความหวัง และ ความรัก...”  แท้จริงแล้วในเอเฟซัสบทเดียวกันนี้ในข้อที่ 18 ก็กล่าวถึงความหวังไว้ด้วยเช่นกัน

ด้วยแก่นหลักของชีวิตคริสตชนดังกล่าวของสมาชิกคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส   ทำให้เปาโลเกิดความปีติสุขในชีวิตของท่าน  ท่านอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าเพราะการดำเนินชีวิตคริสตชนในเมืองเอเฟซัส  และยังเฝ้าอธิษฐานเผื่อสมาชิกคริสตจักรในเมืองนี้อย่างต่อเนื่องด้วย  

ให้เราใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ถึงบทเรียนชีวิตคริสตชนทั้งระดับชีวิตคริสตชนส่วนตัว   ชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้  และชีวิตคริสตชนในความเป็นชุมชนคริสตจักร  ดังนี้

ชีวิตคริสตชนส่วนตัว

ให้เราใคร่ครวญพิจารณาถึงชีวิตคริสตชนของเราเองดูว่า   ในชีวิตแต่ละวันของเราได้มีชีวิตประจำวันที่ 

(1) เชื่อและศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราหรือไม่  มากน้อยแค่ไหน?  

(2) แล้วในความเชื่อศรัทธานั้นเราได้มีชีวิตประจำวันที่รักด้วยการกระทำของเราต่อประชากรของพระเจ้าทุกคนหรือไม่? อย่างไร?  

(3) ที่ผ่านมาชีวิตประจำวันของเรามีอะไรที่เป็น “เสาหลัก” ในการดำเนินชีวิตคริสตชนของเราบ้าง?

ชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้
(1) ในการดำเนินชีวิตคริสตชนในแต่ละวันของเราได้เป็นแบบอย่าง หรือ เป็นการสำแดงถึงความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์อย่างไรบ้าง?   สร้างผลกระทบต่อชีวิตของพี่น้องคริสตชนด้วยกัน และ คนรอบข้างอย่างไรบ้าง?

(2) ในชีวิตประจำวันของเรา   มีใครบ้างกี่คนที่เป็นบุคคลเป้าหมายที่ท่านต้องการหนุนเสริมให้เติบโตขึ้นในชีวิตคริสตชน?   ท่านมีวิธีการ และ กระบวนการเสริมสร้างชีวิตคริสตชนให้บุคคลดังกล่าวเติบโตขึ้นในความเชื่อพระเยซูคริสต์ และ ในความรักที่เขามีต่อพี่น้องคริสตชน  และ คนรอบข้างอย่างไร?

(3) เกิดผลอะไรบ้างในชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้ของท่าน?

ชีวิตคริสตชนในความเป็นชุมชนคริสตจักร

(1) ในชุมชนคริสตจักรที่ท่านร่วมอยู่ในปัจจุบันได้เป็นชุมชนที่ทำให้เกิดการเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์แก่กันและกันในชุมชนคริสตจักรนี้หรือไม่?   เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?

(2) ในชุมชนคริสตจักรของท่าน   ได้กระตุ้น เอื้ออำนวย และหนุนเสริมให้ผู้ร่วมในชุมชนคริสตจักรแต่ละคนได้สำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์ต่อกันและกันหรือไม่?  อย่างไร?  ได้เกิดผลลัพธ์ และ ผลกระทบอย่างไรบ้าง?

(3) ในชุมชนคริสตจักรที่ท่านร่วมอยู่ในปัจจุบันนี้   ได้กระตุ้นหนุนเสริมให้ผู้ร่วมในชุมชนคริสตจักร  มีชีวิตประจำวันที่สำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์แก่ผู้คนในครอบครัว  ชุมชน และ ที่ทำงานหรือไม่?   ถ้ามี ได้มีวิธีการและกระบวนการในการหนุนเสริมในเรื่องนี้อย่างไร?   เกิดผลลัพธ์ และ ผลกระทบอย่างไรบ้าง?

ความเชื่อศรัทธาของคริสตชน

โดยปกติแล้วความเชื่อศรัทธาของคริสตชน  มิใช่เป็นเพียงเรื่องของความรู้  ตรรกะ  เหตุผล  

ในหลายครั้ง   มีบางเรื่องที่ “สามัญสำนึก”  บอกว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น หรือ ฟันธงลงไปว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแน่   แต่จะมีคนบางคนบางกลุ่มที่ยังยืนยันว่า 

ถึงกระนั้นก็ตาม “ฉันก็ยังเชื่อ   ฉันก็ยังศรัทธา  และ ฉันก็ยังไว้วางใจ(ในเรื่องนั้น ในบุคคลนั้น)  

ถึงแม้คนอื่นจะบอกว่าเป็นเรื่อง “งี่เง่า”  “ไร้สาระ”  แต่ฉันก็ยังเชื่อและศรัทธาอยู่

ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนนั้นมีความแตกต่างจากความเชื่อศรัทธาทั่วๆ ไป   นอกจากที่ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจะมิได้ยืนอยู่บนรากฐานของตรรกะ  เหตุผล  และการพิสูจน์ได้หรือไม่ได้  หรือการคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอย่างเป็นระบบของมนุษย์   อีกทั้งความเชื่อศรัทธาของคริสตชนมิใช่ความคิดที่เปี่ยมด้วยความหวังเท่านั้น (หรือการคิดเชิงบวกเท่านั้น)  

การที่คริสตชนมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเพราะการทรงสำแดงและการทรงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้า   พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านกระบวนเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติและโลก   ที่เราสามารถค้นหาและพบได้ในพระคัมภีร์  ท่ามกลางชีวิตชุมชนของผู้เชื่อศรัทธา  และจากชีวิตที่เป็นรูปธรรมของพระเจ้าในโลกนี้โดยผ่านชีวิตของพระเยซูคริสต์  

การทรงสำแดงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าแก่เรามิใช่เพื่อเราจะเห็นพระองค์อย่างแจ้งชัดครั้งเดียวแล้วทำให้เราต้องเชื่อพระองค์ทันที   แต่การทรงเปิดเผยของพระเจ้าแก่เรา  เป็นการทรงเปิดเผยในสิ่งที่เป็นความล้ำลึกที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจในพระองค์   ผ่านทางพระเมตตาและพระปัญญาของพระองค์   พระองค์ทรงสำแดงให้เราค่อยๆ เห็น สัมผัส และรู้ถึงว่าพระองค์เป็นใคร   เพราะฉะนั้นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เราเห็นและสัมผัสจากการทรงเปิดเผยแม้ในครั้งแรกเริ่มจะเป็นเพียงภาพ “...สลัวๆ เหมือนดูในกระจก”  แต่ในที่สุดภาพของพระองค์จะเป็นภาพที่เปาโลกล่าวว่า “...ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”  (1โครินธ์ 13:12 ฉบับมาตรฐาน)

ดังนั้น  ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจึงมิใช่ “สามัญสำนึกที่ตอบสนองต่อสิ่งสูงสุดในชีวิต”   แต่ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนคือการที่คนๆ นั้นตอบสนองต่อการทรงสำแดงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าที่มีต่อคริสตชนคนๆ นั้น   และการตอบสนองที่เกิดขึ้นของคริสตชนมิใช่เพราะประเมินตรวจสอบแล้วว่าสิ่งที่ทรงเปิดเผยสำแดงนั้นมีเหตุมีผลมีความเป็นไปได้เท่านั้น   เพราะบ่อยครั้งเรื่องที่เราเชื่อศรัทธาและไว้วางใจในพระเจ้ามักดูเหมือนว่าเป็นเรื่อง “โง่เขลาเบาปัญญา”  เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ตามมุมมองแห่งโลกนี้

แต่เพราะ การที่เราคริสตชนมุ่งมองไปที่การทรงเปิดเผยสำแดงของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา   เราจึงได้สัมผัสกับการทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของเราและสถานการณ์ที่เราประสบพบเจอ   คริสตชนจึงไม่เกิดความรู้สึกว่า   เรื่องที่ตนเชื่อศรัทธาในพระเจ้านั้นเป็นเรื่อง “โง่เขลาเบาปัญญา”   อย่างไรก็ตามคริสตชนคนๆ นั้นจะต้องมีจิตใจที่เปิดกว้างยอมรับและไว้วางใจด้วยจิตใจที่เรียบง่าย เปิดกว้าง และไว้วางใจอย่างจิตใจของเด็กเล็ก

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น