อ่านเอเฟซัส 1:15-16
“ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูเจ้า
และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า
ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน
และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน” (อมตธรรม)
ถ้ามีคนมาขอท่านช่วยบอกถึงหัวใจความหมายของคำว่า
“ชีวิตคริสตชน” ท่านจะให้ความจำกัดความของคำว่า
“ชีวิตคริสตชน” หรือ “ชีวิตคริสเตียน” ว่าอย่างไร? คำจำกัดความที่สั้น กะทัดรัด
และกินความครอบคลุมความหมายที่ครบถ้วนที่สุดของท่านคืออะไร?
เปาโลได้ให้ความจำกัดความชีวิตคริสตชนไว้อย่างกะทัดรัดใน
เอเฟซัส 1:15 ไว้ว่า
คือผู้ที่มี...“ความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์เจ้าและความรักที่มีต่อประชากรของพระองค์” หรือสกัดลงเหลือเพียงสั้นๆ ว่า “เชื่อและรัก”
ถ้าเราจะพิจารณาข้อเขียนในจดหมายฉบับอื่นๆ ของเปาโลเราจะพบว่า
มีอีกคำหนึ่งคือ “ความหวัง”
ในคำจำกัดความคำว่าชีวิตคริสตชนของเปาโลด้วย เช่น ใน 1โครินธ์
13:13 “...ความเชื่อ ความหวัง และ ความรัก...” แท้จริงแล้วในเอเฟซัสบทเดียวกันนี้ในข้อที่ 18 ก็กล่าวถึงความหวังไว้ด้วยเช่นกัน
ด้วยแก่นหลักของชีวิตคริสตชนดังกล่าวของสมาชิกคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส ทำให้เปาโลเกิดความปีติสุขในชีวิตของท่าน ท่านอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าเพราะการดำเนินชีวิตคริสตชนในเมืองเอเฟซัส
และยังเฝ้าอธิษฐานเผื่อสมาชิกคริสตจักรในเมืองนี้อย่างต่อเนื่องด้วย
ให้เราใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ถึงบทเรียนชีวิตคริสตชนทั้งระดับชีวิตคริสตชนส่วนตัว ชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้ และชีวิตคริสตชนในความเป็นชุมชนคริสตจักร ดังนี้
ชีวิตคริสตชนส่วนตัว
ให้เราใคร่ครวญพิจารณาถึงชีวิตคริสตชนของเราเองดูว่า
ในชีวิตแต่ละวันของเราได้มีชีวิตประจำวันที่
(1) เชื่อและศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน?
(2)
แล้วในความเชื่อศรัทธานั้นเราได้มีชีวิตประจำวันที่รักด้วยการกระทำของเราต่อประชากรของพระเจ้าทุกคนหรือไม่?
อย่างไร?
(3)
ที่ผ่านมาชีวิตประจำวันของเรามีอะไรที่เป็น “เสาหลัก” ในการดำเนินชีวิตคริสตชนของเราบ้าง?
ชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้
(1) ในการดำเนินชีวิตคริสตชนในแต่ละวันของเราได้เป็นแบบอย่าง หรือ
เป็นการสำแดงถึงความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์อย่างไรบ้าง? สร้างผลกระทบต่อชีวิตของพี่น้องคริสตชนด้วยกัน
และ คนรอบข้างอย่างไรบ้าง?
(2)
ในชีวิตประจำวันของเรา
มีใครบ้างกี่คนที่เป็นบุคคลเป้าหมายที่ท่านต้องการหนุนเสริมให้เติบโตขึ้นในชีวิตคริสตชน? ท่านมีวิธีการ และ
กระบวนการเสริมสร้างชีวิตคริสตชนให้บุคคลดังกล่าวเติบโตขึ้นในความเชื่อพระเยซูคริสต์
และ ในความรักที่เขามีต่อพี่น้องคริสตชน
และ คนรอบข้างอย่างไร?
(3)
เกิดผลอะไรบ้างในชีวิตคริสตชนในฐานะผู้รับใช้ของท่าน?
ชีวิตคริสตชนในความเป็นชุมชนคริสตจักร
(1) ในชุมชนคริสตจักรที่ท่านร่วมอยู่ในปัจจุบันได้เป็นชุมชนที่ทำให้เกิดการเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์แก่กันและกันในชุมชนคริสตจักรนี้หรือไม่? เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?
(2)
ในชุมชนคริสตจักรของท่าน ได้กระตุ้น
เอื้ออำนวย
และหนุนเสริมให้ผู้ร่วมในชุมชนคริสตจักรแต่ละคนได้สำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์ต่อกันและกันหรือไม่? อย่างไร?
ได้เกิดผลลัพธ์ และ ผลกระทบอย่างไรบ้าง?
(3)
ในชุมชนคริสตจักรที่ท่านร่วมอยู่ในปัจจุบันนี้
ได้กระตุ้นหนุนเสริมให้ผู้ร่วมในชุมชนคริสตจักร
มีชีวิตประจำวันที่สำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์แก่ผู้คนในครอบครัว ชุมชน และ ที่ทำงานหรือไม่? ถ้ามี
ได้มีวิธีการและกระบวนการในการหนุนเสริมในเรื่องนี้อย่างไร? เกิดผลลัพธ์ และ ผลกระทบอย่างไรบ้าง?
ความเชื่อศรัทธาของคริสตชน
โดยปกติแล้วความเชื่อศรัทธาของคริสตชน มิใช่เป็นเพียงเรื่องของความรู้ ตรรกะ
เหตุผล
ในหลายครั้ง มีบางเรื่องที่ “สามัญสำนึก” บอกว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น หรือ ฟันธงลงไปว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแน่ แต่จะมีคนบางคนบางกลุ่มที่ยังยืนยันว่า
ถึงกระนั้นก็ตาม
“ฉันก็ยังเชื่อ ฉันก็ยังศรัทธา และ ฉันก็ยังไว้วางใจ(ในเรื่องนั้น
ในบุคคลนั้น)
ถึงแม้คนอื่นจะบอกว่าเป็นเรื่อง
“งี่เง่า” “ไร้สาระ” แต่ฉันก็ยังเชื่อและศรัทธาอยู่
ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนนั้นมีความแตกต่างจากความเชื่อศรัทธาทั่วๆ
ไป นอกจากที่ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจะมิได้ยืนอยู่บนรากฐานของตรรกะ เหตุผล
และการพิสูจน์ได้หรือไม่ได้
หรือการคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอย่างเป็นระบบของมนุษย์ อีกทั้งความเชื่อศรัทธาของคริสตชนมิใช่ความคิดที่เปี่ยมด้วยความหวังเท่านั้น
(หรือการคิดเชิงบวกเท่านั้น)
การที่คริสตชนมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเพราะการทรงสำแดงและการทรงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้า
พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านกระบวนเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติและโลก ที่เราสามารถค้นหาและพบได้ในพระคัมภีร์ ท่ามกลางชีวิตชุมชนของผู้เชื่อศรัทธา
และจากชีวิตที่เป็นรูปธรรมของพระเจ้าในโลกนี้โดยผ่านชีวิตของพระเยซูคริสต์
การทรงสำแดงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าแก่เรามิใช่เพื่อเราจะเห็นพระองค์อย่างแจ้งชัดครั้งเดียวแล้วทำให้เราต้องเชื่อพระองค์ทันที แต่การทรงเปิดเผยของพระเจ้าแก่เรา เป็นการทรงเปิดเผยในสิ่งที่เป็นความล้ำลึกที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจในพระองค์ ผ่านทางพระเมตตาและพระปัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงสำแดงให้เราค่อยๆ เห็น สัมผัส
และรู้ถึงว่าพระองค์เป็นใคร
เพราะฉะนั้นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เราเห็นและสัมผัสจากการทรงเปิดเผยแม้ในครั้งแรกเริ่มจะเป็นเพียงภาพ
“...สลัวๆ เหมือนดูในกระจก”
แต่ในที่สุดภาพของพระองค์จะเป็นภาพที่เปาโลกล่าวว่า “...ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”
(1โครินธ์ 13:12 ฉบับมาตรฐาน)
ดังนั้น
ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจึงมิใช่ “สามัญสำนึกที่ตอบสนองต่อสิ่งสูงสุดในชีวิต” แต่ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนคือการที่คนๆ นั้นตอบสนองต่อการทรงสำแดงเปิดเผยพระองค์เองของพระเจ้าที่มีต่อคริสตชนคนๆ
นั้น และการตอบสนองที่เกิดขึ้นของคริสตชนมิใช่เพราะประเมินตรวจสอบแล้วว่าสิ่งที่ทรงเปิดเผยสำแดงนั้นมีเหตุมีผลมีความเป็นไปได้เท่านั้น เพราะบ่อยครั้งเรื่องที่เราเชื่อศรัทธาและไว้วางใจในพระเจ้ามักดูเหมือนว่าเป็นเรื่อง
“โง่เขลาเบาปัญญา” เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ตามมุมมองแห่งโลกนี้
แต่เพราะ การที่เราคริสตชนมุ่งมองไปที่การทรงเปิดเผยสำแดงของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา เราจึงได้สัมผัสกับการทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของเราและสถานการณ์ที่เราประสบพบเจอ คริสตชนจึงไม่เกิดความรู้สึกว่า
เรื่องที่ตนเชื่อศรัทธาในพระเจ้านั้นเป็นเรื่อง “โง่เขลาเบาปัญญา” อย่างไรก็ตามคริสตชนคนๆ นั้นจะต้องมีจิตใจที่เปิดกว้างยอมรับและไว้วางใจด้วยจิตใจที่เรียบง่าย
เปิดกว้าง และไว้วางใจอย่างจิตใจของเด็กเล็ก
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น