ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นผู้นำครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่?
สำหรับผมรู้ตัวว่าเป็นผู้นำครั้งแรกเมื่อสมัยที่ผมเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษา ในสมัยนั้นประถมศึกษาในประเทศไทยมีถึง ป.7
ในช่วงนั้นผมกำลังเรียนในชั้นประถมปีที่ 5 และโรงเรียนที่ผมเรียนในขณะนั้นก็มีชั้นสูงสุดก็แค่
ป.7
ทางโรงเรียนให้มีการสมัครเพื่อรับการเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียนขึ้นในโรงเรียน
ชั้นเรียนที่ผมเรียนโหวตให้ผมเป็นตัวแทนเข้าแข่งขันรับเลือกเป็นประธานนักเรียน ผลปรากฏว่า
ผมได้รับเลือกเป็นประธานในปีนั้น
ในเวลานั้นเองผมถามตัวเองว่า
นี่เราเป็นผู้นำของนักเรียนทั้งโรงเรียนหรือนี่? ผมคิดว่ารุ่นพี่ ป.7
น่าจะได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน
เพราะอยู่ชั้นสูงสุด
ในสถานการณ์นั้น ผมถามตนเองว่า เราเป็นผู้นำนักเรียนทั้งโรงเรียนแล้วจริงๆ
หรือ? คนอื่นมองผมและยกให้ผมเป็นผู้นำ แต่แค่ได้รับการเลือกตั้งมี “ตำแหน่งประธานนักเรียน”
นั้นไม่ใช่ตัวบ่งบอกที่แท้จริงว่าผมเป็นผู้นำ!
แต่ผมเป็นประธานนักเรียนแบบไหนต่างหากที่จะบ่งบอกว่าผมมีภาวะผู้นำหรือไม่
จอห์น ซี แมกซ์แวลล์ (John C. Maxwell) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่สร้างและตัวบ่งชี้ถึงภาวะผู้นำที่เกิดขึ้นไว้ 4 ประการที่น่าสนใจในบทความหนึ่งของท่านว่า
1. ช่วงเวลาวิกฤติท้าทายความเป็นผู้นำ
เมื่อคนๆ นั้นต้องเผชิญกับวิกฤติที่ท้าทายเป็นเวลาที่ตนเองและผู้คนรอบข้างจะมองเห็นว่าศักยภาพภายในของคนๆ
นั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสมรรถนะและความสามารถที่ใช้จัดการกับวิกฤติที่ท้าทายอย่างสร้างสรรค์ได้มากน้อยแค่ไหน
(มีกึ๋นภาวะผู้นำหรือไม่ แค่ไหน?)
แมกซ์แวลล์ เล่าประสบการณ์ของท่านเองว่า ตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำของท่านครั้งแรกในชีวิตคือในเวลาที่ท่านสมัครเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ขณะนั้นท่านอายุ 25
ปี ในคริสตจักรแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่ามี
“เจ้าพ่อ” ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนชีวิตคริสตจักรแห่งนี้ ศิษยาภิบาลก่อนหน้านี้ต้องออกจากคริสตจักรไปเพราะไปขัดแข้งขัดขากับ
“เจ้าพ่อ” ของคริสตจักร ยิ่งกว่านั้น แมกซ์แวลล์ ยังได้เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ศิษยาภิบาลอีกสองท่านก่อนหน้านี้ก็ออกจากคริสตจักรแห่งนี้ไปด้วยอาการเดียวกันกับศิษยาภิบาลที่เพิ่งลาออกไป
แมกซ์แวลล์ เริ่มงานศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งนี้ด้วยการแสวงหาโอกาสที่เหมาะสมที่จะขอพบและปรึกษากับ
“เจ้าพ่อ” หรือศิษยาภิบาลตัวจริงดั้งเดิมของคริสตจักร ท่านเข้าพบปรึกษา “เจ้าพ่อ” ด้วยท่าทีจริงใจ สัตย์ซื่อ
ให้เกียรติ ถ่อมสุภาพ เปิดเผย
และเปิดใจที่จะเรียนรู้
แน่นอนครับพร้อมด้วยความกล้าหาญ
ท่านเรียน “เจ้าพ่อ” อย่างเปิดเผยและให้เกียรติ และเรียนปรึกษากับท่านถึงภาพลักษณ์ของ “เจ้าพ่อ”
ในสายตาของคนอื่นที่มองท่านเป็นลบ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แล้ว แมกซ์แวลล์ ได้แสดงความจริงใจและเต็มใจที่จะร่วมทำงานพันธกิจกับ
“เจ้าพ่อ”
จากการกระทำเช่นนี้ปรากฏว่าศิษยาภิบาลคนใหม่คนนี้ได้ใจของ “เจ้าพ่อ”
แล้วทั้งสองทำงานร่วมไม้ร่วมมือกันอย่างสนิทสนม
John ชี้ว่า
การสนทนาครั้งนั้นคือช่วงเวลาที่บ่งชี้ถึงความเป็นผู้นำของศิษยาภิบาล จอห์น
แมกซ์ แวลล์
ท่านประเมินว่าเวลานั้นท่านได้มีความกล้าหาญแบบมีในภาวะผู้นำ ในเวลานั้นท่านเรียนรู้ว่า ในฐานะผู้นำ คือการทำให้ผู้คนที่ท่านนำมีความสุขมิใช่เพียงแต่จะนำผู้คนเท่านั้น
ความกล้าหาญของท่านมิใช่ลุกขึ้นคัดค้านต่อต้านใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ท่านเกิดความรู้สึกสุขใจภายหลังที่ได้พบกับ
“เจ้าพ่อ” ของคริสตจักร
มิใช่การพบปะสนทนาเป็นไปด้วยดีเท่านั้น
แต่เพราะท่านได้แสดงภาวะผู้นำที่แท้จริง
จอห์น แมกซ์แวลล์ บอกว่าตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำ คือการที่ท่านเต็มใจที่จะยอมทำในสิ่งที่ลำบากใจ
และ สร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้งานเกิดความสำเร็จ
จากประสบการณ์ครั้งนั้นท่านยอมรับว่า มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน ทำให้ท่านเกิดความมั่นอกมั่นใจอย่างมากต่อการกล้าตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบากครั้งต่อๆ
มาบนเส้นทางชีวิตการเป็นผู้นำของท่าน
2. เมื่อศักยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวปรากฏชัดเป็นความสามารถ บ่งชี้ถึงความเป็นผู้นำ
การมีศักยภาพภาวะผู้นำภายในตัวของคนๆ นั้นเท่านั้นมิใช่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเขาเป็นผู้นำ แต่ศักยภาพความเป็นผู้นำจะต้องแสดงออกชัดว่าคนๆ
นั้นมีสมรรถนะ ความสามารถในการนำจริงๆ ด้วย
เพราะความสามารถในการนำดังกล่าวสร้างความมั่นใจแก่ตัวผู้นำเอง ในขณะที่ทำให้ผู้ตามได้เห็นภาวะผู้นำตัวจริงของผู้นำคนนั้น
และจะเป็นจุดเริ่มต้นของความไว้วางใจของผู้คนรอบข้างและทีมงาน
3. แรงจูงใจที่บริสุทธิ์จริงใจบ่งชี้ถึงความเป็นผู้นำ
J. R. Morgan กล่าวว่า “มนุษย์เรามักมีเหตุผลใหญ่ๆ สองประการในการที่กระทำในบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ กล่าวคือเหตุผลที่ดูดี และ เหตุผลที่แท้จริง” ตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำคือการผ่านข้ามเหตุผลที่ผิวเผินดูดี แต่มุ่งไปสู่เหตุผลที่แท้จริงในการนำนั้น สิ่งนี้เป็นพลังขับเคลื่อนภายในชีวิตของผู้นำ เพื่อช่วยผู้นำคนนั้นแสดงออกชัดเจนว่าพลังที่กระตุ้นขับเคลื่อนเบื้องหลังการนำหรือการใช้อิทธิพลของเขาคืออะไรกันแน่
จอห์น แมกซ์แวลล์
เล่าว่า ในช่วงปีแรกๆ ของการเป็นผู้นำของท่าน ท่านมองไปยังคนที่ท่านนำ และถามตนเองว่า “พวกเขาจะช่วยฉันอย่างไรได้บ้าง?” ท่านมองว่า
ท่านจะใช้ประโยชน์จากความสามารถและทักษะของผู้คนที่ท่านนำทำให้วิสัยทัศน์ของท่านก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร? ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท่านใช้ภาวการณ์เป็นผู้นำที่เอา
“ตัวข้าฯ เป็นศูนย์กลาง” ในการนำผู้คน
และนั่นแสดงออกชัดเจนว่าอะไรคือแรงกระตุ้นขับเคลื่อนในการเป็นผู้นำของท่านเอง
ต่อมาท่านได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนมุมมองการรับรู้ใหม่ในความเป็นผู้นำของท่าน และท่านจะถามตนเองว่า “ผมจะช่วยคนเหล่านี้(คนที่ท่านนำ)ได้อย่างไร?”
4. ท่ามกลางแรงกดดันและความตึงเครียดได้พัฒนาให้ผู้นำเติบโตและมีวุฒิภาวะในการนำ
ภาวะความกดดันและความตึงเครียดในการเป็นผู้นำเอื้ออำนวยให้เกิดการเติบโตที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยในสถานการณ์ปกติ จอห์น แมกซ์แวลล์ เล่าถึง Dr. John Brid
ว่าครั้งหนึ่งท่านได้เตือน แมกซ์แวลล์ ว่า ให้ระมัดระวังอย่ารับประทานอาหารกลางวันมากเกินไปเพราะจะทำให้ตัวของแมกซ์แวลล์เกิดปัญหาน้ำหนักมากเกินไป แทนที่ จอห์น แมกซ์แวลล์
จะฟังคำเตือนของ Dr. Brid แต่ท่านกลับโต้เถียง Dr. Brid
ในเรื่องดังกล่าว และยืนยันว่า ตนเองมีสุขภาพที่แข็งแรง ภายหลัง
จอห์น แมกซ์แวลล์ ต้องทนทุกข์กับโรคหัวใจวาย แผนกผู้ป่วยฉุกเฉินทำให้ท่านต้องยอมรับว่า สุขภาพของท่านเข้าขั้นวิกฤติและกำลังสร้างปัญหาแก่ท่าน
ภาวะวิกฤติ กดดัน และตึงเครียดในชีวิตทำให้ จอห์น
แมกซ์แวลล์ ต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตของตนทันทีฉับพลัน
ซึ่งถ้าไม่เกิดภาวะดังกล่าวในชีวิตตัวท่านเองก็จะไม่สนใจที่จะดูแลสุขภาพของตนเอง
เช่นกัน ภาวะตึงเครียด
กดดันเพิ่มความเร่งด่วนต่อการเติบโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้นในความเป็นผู้นำด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น