นับจากวันอาทิตย์การคืนพระชนม์ไปอีก 7 สัปดาห์
ถึงวันอาทิตย์การเสด็จมาของ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้น 50 วัน เป็นช่วงเวลาที่กระผมขอเรียกเอาเองว่า
“ฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์” เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนรับการทรงเปลี่ยนแปลง
เสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตของตนอย่างเป็นรูปธรรม
อ่านยอห์น 12:23-27
23 และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า
“ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ
24 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า
ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
25 คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต
และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์
26 ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา
คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย
ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
27 “เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์
จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ?
แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ (ฉบับมาตรฐาน)
เราท่านต่างรู้แน่แก่ใจแล้วว่า พระเยซูคริสต์ทรงจาริกไปบนเส้นทางสู่เนินเขากะโหลกศีรษะ
แต่ท่านทราบไหมว่า ผู้ที่ตัดสินใจที่จะติดตามและมีชีวิตตามแบบพระคริสต์ก็ต้องจาริกไปบนเส้นทางเดียวกับพระองค์สู่กางเขน?
ทุกคนที่ตั้งใจใช้ชีวิตไปกับพระคริสต์จะต้องตรึงชีวิตของตนบนกางเขนกับพระองค์ และผู้ใดที่กระหายใคร่มีประสบการณ์ที่ลุ่มลึกกับพระคริสต์ในสัจจะความจริงเดียวกันนี้
พระองค์ทรงจูงมือคนนั้นและนำเขาไปสู่กางเขน ถึงแม้ว่านี่คือเป้าหมายปลายทางแห่งสุดท้ายที่ทุกคนจะมุ่งไป
แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่พระองค์จะมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา
การจาริกไปบนเส้นทางสู่กางเขนมิใช่เส้นทางที่เราจะไปกับคนในครอบครัวของเราหรือมิตรสหายของเรา
แต่เป็นเส้นทางที่โดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยว ที่เราจาริกไปกับพระคริสต์เท่านั้น แล้วพระองค์ทรงเปลื้องเราจากการพึ่งพิงทุกอย่างที่มีอยู่ แล้วเราเริ่มเรียนรู้ที่จะวางใจพึ่งพิงในพระองค์เท่านั้น และเมื่อเราอยู่ที่กางเขน พระองค์ทรงเปลื้องสิ่งที่ปกปิดตัวเราออกทีละชิ้น ชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนหมดสิ้น
จนเราสามารถเห็นตัวตนที่แท้จริงของตนเองอย่างที่พระองค์ทรงเห็นตัวเรา ในไม่ช้า การมีตนเองเป็นศูนย์กลางในชีวิตก็ถูกลอกออก ความไม่เหมาะสมในตัวเราก็ถูกดึงออกไป ความล้มเหลวถูกขจัดจากตัวเรา บนกางเขนนั้นพระองค์ทรงเปลื้องเราจนเปล่าเปลือย
บนกางเขนนั้นชีวิตของเราต้องพบกับความแตกหักและฉีกขาด แต่เป็นที่ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิตของคริสตชน ถ้าเรายังยึดเกาะชีวิตเดิมที่เป็นอยู่ ไม่ยอมที่จะจาริกไปบนเส้นทางสู่กางเขน
ชีวิตของเราก็จะไม่ถูกเปลื้องออก
เราก็จะไม่เห็นความฉีกขาดในชีวิตของเรา
และก็ไม่มีทางอื่นเลยที่ชีวิตของเราจะเกิดผลได้
พระเยซูทรงเปรียบชีวิตของเราเป็นเหมือนเมล็ดข้าว ถ้าไม่ถูกหว่านลงในดิน มันจะไม่แตกตัว ไม่งอก
ไม่เกิดชีวิตใหม่ แล้วมันก็จะไม่เกิดผล
แต่ถ้าเมล็ดข้าวเม็ดใดเต็มใจที่จะถูกหว่านลงในดิน เปลือกที่หุ้มเมล็ดข้าวยอมเปื่อยและเน่าในที่สุด เมล็ดข้าวเมล็ดนั้นยอมให้สิ่งที่ห่อหุ้ม
ปกป้องชีวิตของตนเองเปื่อยเน่า แตกออก เมล็ดนั้นจะเกิดชีวิตใหม่
ถ้าเมล็ดข้าวแห่งชีวิตของเราไม่ถูกหว่านลงดิน ก็จะไม่เกิดชีวิตใหม่ จะไม่เติบโต
แต่ถ้าใครก็ตามที่จะยอมให้เมล็ดชีวิตเดิมของตนตาย ผู้นั้นก็จะเป็นเหมือนเมล็ดที่ยอมให้เปลือกที่หุ้มชีวิตเปื่อยเน่า เพื่อแตกชีวิตใหม่ เติบโตได้
แล้วเกิดผลด้วย
ชีวิตคริสตชนที่มีชีวิตและดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ คือผู้ที่ยอมให้ชีวิตของตนถูกตรึงที่กางเขน
พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ท่านพอใจกับความรอดที่ท่านรับพระองค์เท่านั้น
แต่พระองค์มีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
ด้วยการทรงกระทำพระราชกิจในชีวิต
และผ่านชีวิตของเรา เพื่อชีวิตของเราจะเกิดผล
เราเต็มใจที่จะจาริกไปบนเส้นทางนี้สู่กางเขนไปกับพระองค์หรือไม่?
ใช่ มันเป็นทางที่ท่านต้องเจ็บปวด เป็นเส้นทางที่เราต้องโดดเดี่ยวจากผู้อื่น
แต่เป็นเส้นทางที่เราเคียงข้างไปกับพระคริสต์ เป็นเส้นทางที่เราจะเรียนรู้จากพระองค์
แม้เป็นเส้นทางที่เราได้รับความเจ็บปวดในชีวิต
แต่ผลที่ได้รับยิ่งกว่าคุ้มค่า
นี่จะเป็นประสบการณ์ที่เราจะได้รับในชีวิต
นี่คือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพระคริสต์
นี่เป็นคุณค่าแห่งการเป็นสาวกของพระองค์
และเป็นชีวิตที่เกิดผลตามพระประสงค์ของพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น