เมื่อเป้าหมายปลายทางของการเทศนาคือ
การนำให้ชีวิตของผู้ฟังเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง
และการเทศนาเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ชีวิตคริสตจักรเกิดการเติบโตและแข็งแรง แต่ศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล หรือผู้ปกครองคริสตจักรต่างมีคำถามในใจว่า
แล้วเราจะสื่อสารผ่านการเทศนาอย่างทรงประสิทธิภาพได้อย่างไร? เอกสารนี้มี 9 ประเด็นคำถามที่ผู้เทศน์ใช้ในการตรวจสอบและถามเกี่ยวกับการเทศนาของตน
1. ใครคือผู้ฟังเทศนา?
ที่เราถามคำถามนี้เพื่อที่จะต้องการทราบว่า “ผู้ฟังต้องการอะไรในชีวิต?”
“อะไรคือบาดแผลและความเจ็บปวดในชีวิตของผู้ฟัง?” “ผู้ฟังสนใจในเรื่องอะไร?” คำถามลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้เทศน์สามารถมุ่งมองเจาะจงลงไปในชีวิตของผู้ฟัง บางท่านอาจจะถามในใจว่า แล้วเราจะถามไปทำไม? ที่เราถามเช่นนี้เพราะว่ามี 3 สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ฟังเสมอ
คือ...
- สิ่งที่เขาหวาดกลัว
- สิ่งที่ไม่ปกติธรรมดา
- สิ่งที่มีคุณค่า
2. พระคัมภีร์ว่าอย่างไรกับความต้องการที่จำเป็นในชีวิตของผู้ฟัง?
ในเมื่อพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ว่าด้วยชีวิต
และมีคำตอบต่อความจำเป็นต้องการในชีวิตของผู้คน
ภาระหลักของนักเทศน์คือเปิดเผยและสำแดงให้ผู้ฟังได้พบกับสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาและความจำเป็นต้องการของผู้ฟังในปัจจุบัน
3. อะไรในคำเทศนาที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ดี/ปฏิบัติได้มากที่สุด?
การประยุกต์คำสอนให้เป็นแนวทางและวิธีการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของผู้ฟังเป็นภาระประการต่อมาของนักเทศน์
ดังนั้นคำเทศน์ต้องเป็นสิ่งที่นำไปปฏิบัติได้
ที่ผู้ฟังฟังแล้วรู้ว่าจะนำไปทำตามได้อย่างไร คำถามคือแล้วจะทำอย่างไรให้คำเทศน์เป็นคำเทศน์เพื่อการปฏิบัติ มิใช่เพื่อจรรโลงปัญญาเท่านั้น?
- นักเทศน์ต้องมุ่งเป้าหมายเจาะจงให้คำเทศน์ไปสู่การปฏิบัติ
- บอกกับผู้ฟังว่า ทำไมจะต้องปฏิบัติในเรื่องนี้
- แล้วแสดงให้เขาเห็นชัดเจนว่าจะปฏิบัติได้อย่างไร
4.
จะเทศน์อย่างไรที่เป็นการเทศน์ที่สร้างสรรค์ที่สุด?
พระเยซูคริสต์มิได้พยายามทำให้ผู้คนกลับใจ
หรือ เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยอารมณ์โกรธ(อารมณ์รุนแรง) ถึงแม้พระคัมภีร์มีการเตือนถึงเรื่องการพิพากษาอย่างชัดเจน
แต่การเทศนาในเชิงลบย่อมเสริมสร้างสมาชิกผู้ฟังเทศน์ให้เป็นคนแบบลบๆ ไปด้วย ดังนั้น
ระมัดระวังไม่เทศนาด้วยมุมมอง ทัศนะ แบบลบ แต่มุ่งเน้นให้การเทศนาเป็นการนำเสนอ
“ข่าวดีของพระคริสต์”
เป็นการเสนอทางออกจากการครอบงำของอำนาจบาป
และเป็นการเทศนาด้วยความถ่อมสุภาพมากกว่าการเทศนาด้วยความดุดัน
5. จะเทศน์อย่างไรที่เป็นการหนุนเสริมเพิ่มกำลังใจมากที่สุด?
คนเราต่างมีรากฐานความจำเป็นต้องการ
3 ประการในชีวิต
- ต้องการได้รับการหนุนเสริมเพิ่มพลังใจในความเชื่อศรัทธา
- ต้องการได้รับการยืนยัน หรือ เกิดความหวังใหม่อีกครั้งหนึ่งในชีวิต
- ต้องการได้รับการรื้อฟื้น ซ่อมแซม ปะชุน ความรักขึ้นใหม่ในชีวิตใหม่
6. แล้วจะเทศน์ด้วยภาษา และ
ท่าทีที่เรียบง่ายได้อย่างไร?
แท้จริงแล้วเมื่อพระเยซูเทศน์และสอน
พระองค์สื่อสารกับประชาชนและสาวกด้วยวิธีการที่เรียบง่ายในวัฒนธรรมและบริบทในเวลานั้นของพระองค์ ในเมื่อผู้ฟังส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% จะลืมสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังไปแล้วหลัง
72 ชั่วโมง ดังนั้น
คำเทศนาจำเป็นจะต้องมุ่งเน้นเจาะจงชัดเจนเพียงความคิดประเด็นเดียว
แล้วเราจะทำให้คำเทศน์ของเราเรียบง่ายได้อย่างไร?
- ตกผลึกสาระที่เราเทศน์ในวันนั้นให้เป็นเพียงประโยคเดียว
- หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์ ใช้คำเฉพาะในคริสต์ศาสนา คริสต์ศาสนศาสตร์ ที่คนฟังแล้วเข้าใจยาก
- จัดลำดับประเด็นโครงร่างคำเทศนาให้เรียบง่าย (ไม่ซับซ้อนถี่ย่อยเกิน)
- ทำให้ส่วนประยุกต์สอดคล้องกับสาระคำเทศน์
- ทำทุกประเด็นที่นำเสนอในคำเทศน์ให้ผู้ฟังสามารถเห็นภาพในประเด็นนั้นๆ ได้
- การนำเสนอแนวทางหรือวิธีการนำไปใช้มาจากประสบการณ์ตรงของผู้คนต่างๆ จากชีวิตจริง
ผู้คนในปัจจุบันตกอยู่ในท่ามกลางวัฒนธรรม
“ช่างสงสัย” และ “แรงต้าน”
ต่อสิ่งที่นำเสนอหรือการเสนอขาย
ในที่นี้รวมถึงการนำเสนอขายความคิดผ่านการเทศนาด้วย ทำอย่างไรที่จะทำให้สาระและการเทศนาของเราเป็นไปอย่าง
“กันเอง” กับผู้ฟัง เป็นไปด้วยความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนทนาสื่อสารด้วยกัน และการเทศนานั้นจะเกิดผลกระทบในชีวิตของผู้ฟังได้อย่างไร?
- แบ่งปันสิ่งที่ท่านพบเห็นหรือเผชิญหน้า แก่ผู้ฟังด้วยความจริงใจ
- แบ่งปันสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นในความก้าวหน้าของท่านด้วยท่าทีที่ถ่อมสุภาพ
- แบ่งปันสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงครั้งต่างๆ ของท่าน
นักเทศน์ที่เทศนาอย่างน่าเบื่อหน่ายแก่ผู้ฟังที่ยังไม่เชื่อ
เป็นการเทศน์ที่สร้างความเสียหายที่ยากจะทำใจยอมรับได้
ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการนำเสนอสาระคำเทศน์เสียใหม่!
พระเยซูคริสต์สื่อสารสาระพระกิตติคุณของพระองค์ด้วยการเล่าถึงเรื่องราวชีวิตจริงของผู้คนในวัฒนธรรมนั้น
ในบริบทของสมัยนั้น
แล้วพระองค์ก็ใช้เรื่องที่น่าสนใจ ที่ทำให้คนฟังต้องคิดและทำให้ประชาชนได้คิดด้วย พระองค์ไม่ได้นำเสนอสัจจะความจริงด้วยวิธีการและท่าทีที่เคร่งขรึม มาดอาจารย์
ท่านักวิชาการ วางตัวเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่น่าเกรงขาม
แต่พระองค์ช่วยให้ผู้ฟังของพระองค์ผ่อนคลาย เปิดใจ
รับฟัง พระองค์ทำให้ยาที่ประชาชนกินยากกินลำบากให้กินได้ง่าย จึงยอมกิน
และพระองค์ทำให้ประชาชนกินยานั้นอย่างมีความสุข
9. พลังการเปลี่ยนแปลงชีวิตมาจากไหน?
ผู้เทศน์เป็นกระบอกเสียงของพระเจ้า เป็นผู้เผยพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์แก่ผู้ฟัง แต่พลังที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้ฟังมิได้มาจากวิธีการเสนอคำเทศนา
หรือ เนื้อหาสาระในคำเทศน์เป็นหลัก
แต่การเทศนาเป็นพระราชกิจของพระเจ้า
ที่นักเทศน์ร่วมรับใช้ในพระราชกิจครั้งนั้นๆ
ดังนั้น นักเทศน์คือคนใช้ของพระเจ้าสำหรับการเทศน์ในครั้งนั้น และ คำเทศน์เป็นสะพานที่ทอดลงเพื่อให้ผู้ฟังสามารถเดินเข้าถึงการสัมผัสกับพระวจนะ
พระประสงค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของผู้ฟังแต่ละคน
ดังนั้น การเตรียมคำเทศน์ และ
การเทศนาของนักเทศน์จึงเป็นบทบาทและการร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าในการรับใช้พระองค์ในครั้งนั้นๆ และนักเทศน์มั่นใจได้ว่า เรามิได้เตรียมเทศน์ด้วยตัวเราคนเดียว
เราไม่ได้เทศน์ด้วยความโดดเดี่ยวตัวคนเดียว
พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในการเตรียมเทศน์ ในการดำเนินชีวิตของเรา และพระองค์ทรงเป็นความคิด พระปัญญา
และการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ฟังผ่านการเทศนาของเรา
การเทศนาจึงเป็นพระราชกิจของพระเจ้าที่ผู้เทศน์ยอมตนรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ประการสำคัญที่เป็นรูปธรรมคือ
พลังการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ฟังเทศน์คือ
การที่ผู้เทศน์มีชีวิตอย่างสิ่งที่ตนเทศน์ ที่ผู้เทศน์ได้เคยสัมผัสกับสัจจะความจริงในพระวจนะนั้นแล้ว
และการที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างที่เทศน์ได้นั้น
เพราะพระวิญญาณทรงทำงานเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตของผู้เทศน์ให้เป็นแบบอย่างก่อน เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะใช้แบบอย่างชีวิตของผู้เทศน์เป็นส่วนหนึ่งในคำเทศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ฟัง
ดังนั้น
พลังของคำเทศนาที่มีอิทธิพลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ฟัง
ก็คือพลังจากแหล่งเดียวกันที่ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เทศน์เองมาก่อนหน้านี้แล้วครับ!
ถ้าเช่นนั้น
นักเทศน์ที่ยังไม่เคยรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระเจ้า จะเทศนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้ฟังได้อย่างไร?
ขมวด
การเทศนาที่ดีมีประสิทธิภาพ
มีพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมิใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ แต่ผ่านกระบวนการพินิจพิจารณา คิด
ใคร่ครวญให้ทะลุตลอดรอดฝั่ง และตระหนักชัดว่า
การเทศนาเป็นพระราชกิจของพระเจ้า
และผู้เทศน์เป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะมีชีวิตทำตามที่พระเจ้าประสงค์ในการเทศน์ครั้งนั้นๆ
และประการสุดท้ายที่เป็นหัวใจสำคัญคือ นักเทศน์ต้องรักคนฟังของท่านครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น