08 เมษายน 2556

ความกังวล...มันมากับใคร?


“จงละความกังวลทุกอย่างของท่านไว้กับพระองค์  เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย”
(1เปโตร 5:7)

ความวิตกกังวล หรือ ในพระคัมภีร์บางตอนใช้คำว่า ความกระวนกระวาย คืออะไรกันแน่?
ตอบแบบตรงไปตรงมา...  
การวิตกกังวลเกิดจากการที่เราเอาความทุกข์ของพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึงมาเป็นความทุกข์ในวันนี้... ในขณะนี้ 
นั่นคือ...ความกังวลสร้างความกระวนกระวายแก่ชีวิตของเราที่เป็นอยู่ในวันนี้  
ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องแบกรับมันเลยในวันนี้และขณะนี้

บ้างก็วิตกกังวลว่า คนอื่นจะไม่เป็นอย่างที่ตนคาดตนฝัน
บ้างวิตกกังวลว่าสถานการณ์จะไม่เป็นอย่างที่ตนต้องการ
มนุษย์เราวิตกกังวลในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถจะไปจัดการได้  
แต่กับสิ่งที่ตนเองสามารถจัดการได้ เช่น “ตนเอง” ในขณะนี้แต่กลับหลงลืม เมินเฉย หรือคิดไม่ถึง ไม่จัดการ

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ   เรากังวลจนลืมไปว่า พระเจ้าทรงห่วงใยชีวิตวันนี้ของเราแต่ละคนมากแค่ไหน
เราเอาจิตใจของเราไปผูกติดและเกาะยึดกับทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินเงินทอง และความมั่งคั่งร่ำรวยในโลกนี้
จิตใจของเราสาละวน หมกมุ่นกับชื่อเสียง  ฐานะ  ตำแหน่ง หน้าตาในสังคม
ความต้องการของเราวิ่งตามไล่ล่า “ความปรารถนา” ของตนเอง
เราจึงห่วงใยว่า คนอื่นจะมองเราอย่างไร  คนอื่นจะยอมรับเราหรือไม่   คนอื่นจะเชื่อเราแค่ไหน
เราจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องไล่ล่าตามติดกระแสสังคมปัจจุบัน
เราจึงหงุดหงิด “ล่วงหน้า” คิดไปว่า คนอื่นไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเราต้องการ
แล้วเกิดความกระวนกระวายเพราะว่าเราไล่ล่ามันไม่ทัน
แทนที่จะเอาชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า
แล้วแสวงหาว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะกระทำพระราชกิจอะไรในชีวิตของเรา  ผ่านชีวิตของเรา
แสวงหาว่า พระเจ้าทรงห่วงใยเพื่อนบ้าน เพื่อนรอบข้างอย่างไร  
แล้วเราจะเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ดังกล่าวได้อย่างไร 

พระเยซูคริสต์กล่าวเตือนเราวันนี้ว่า...
เพราะฉะนั้น  อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้
เพราะว่าพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง
แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว  (มัทธิว 6:34 ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูคริสต์ชี้นำทางเดินสำหรับเราในวันนี้ว่า...
แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และ ความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้ (ข้อ 33)
เพราะพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้(ข้อ 32)

โปรดตระหนักรู้ว่า  พระคุณของพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่เรา
เป็นพระคุณสำหรับวันนี้   แล้วก็จะส่งผลกระทบไปถึงพรุ่งนี้
แล้วเราจะวิตกกังวลไปทำไม?
พระเยซูทรงถามคำถามที่แสบๆ คันๆ ในเรื่องนี้ว่า...
มีใครในพวกท่านที่โดยความกระวนกระวาย   สามารถต่ออายุของตนให้ยาวนานขึ้นอีกนิดหนึ่งได้? (ข้อ 27)

แน่นอนเลยครับ   ด้วยความวิตกกังวลของวันนี้ไม่สามารถลดหย่อนความทุกข์ของพรุ่งนี้ได้
แต่ตรงกันข้าม   ความวิตกกังวลกลับดูดกลืนพลังชีวิตในวันนี้ของเราให้ลดน้อยถอยลงจนเหือดแห้ง
พอถึงพรุ่งนี้ที่เราต้องเผชิญหน้า   ชีวิตเราหมดสภาพที่จะรับมือวันพรุ่งนี้
เพราะชีวิตของเราตกในสภาพอ่อนระโหยโรยแรง   เป็นเหมือนผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินที่หายใจ “พะงาบ”
เพราะเราใช้พลังชีวิตล่วงหน้า   เราเอาพลังวันนี้ไปใช้เมื่อวานนี้แล้ว!
อย่าหลงผิดคิดพลาดนะครับ   การวิตกกังวลมิได้ทำให้เรามีความพร้อมสำหรับอนาคต
แต่กลับทำให้ชีวิตของเราในอนาคตพร่องขาดโดยการไม่รู้เท่าทันของเราต่างหาก

ความวิตกกังวล  เป็นตัวตนที่เป็นรูปธรรมของอำนาจแห่งความบาปลักษณะหนึ่ง
ที่มาพร้อมกับพลานุภาพแห่งการทำร้ายและทำลายในทุกรูปแบบ   รวมถึงชีวิตของเราทั้งสิ้น
มันมาด้วยความมุ่งร้ายทำลายทั้งความคิด ความตั้งใจ การตัดสินใจ ร่างกาย ความสัมพันธ์และจิตวิญญาณของเรา
และที่ร้ายกว่านั้น   ความวิตกกังวลคืออำนาจชั่วที่มุ่งบีบรัดเมล็ดแห่งพระวจนะที่ตกลงในชีวิตของเรามิให้งอกได้
เมื่อเมล็ดพระวจนะไม่งอก  ก็จะไม่มีต้นพระวจนะ  พระวจนะก็จะไม่เกิดดอกออกผลในชีวิตของเรา
ชีวิตประจำวันของเราจึงมิได้รับพลังชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้า
นี่เอง ที่เราอ่อนเปลี้ยเพลียแรง  หมดสภาพที่จะรับมือกับชีวิตที่เรามีอยู่

พระเยซูคริสต์ชี้ชัดประเด็นนี้ผ่านคำสอนโดยอุปมาเรื่องการหว่านพืชของพระองค์ (มาระโก 4:13-20)
พระองค์กล่าวถึงความวิตกกังวลและฤทธิ์ชั่วของมันว่า...
“ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้น  ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ
แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ  และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา
และรัดพระวจนะนั้นจึงไม่เกิดผล” (ข้อ 8-19)

สุดท้ายนี้โปรดสังเกตว่า   พระเยซูคริสต์ทรงชี้ให้เห็นชัดเจนว่า
ความกังวลนั้นเป็นผลของอำนาจแห่งความบาป
ความวิตกกังวลมิได้เกิดขึ้นเองโดดๆ   แต่มันเกิดจาก “ความลุ่มหลง”  “ความโลภ”  และการยอมตนติดตามตามกระแสโลก   การยอมตนอยู่ใต้อำนาจของความบาปทุกรูปแบบย่อมนำมาซึ่งความวิตกกังวล

ผู้เขียนสุภาษิตกล่าวจากประสบการณ์ชีวิตของท่านว่า
“มีทรัพย์น้อยแต่มีความยำเกรงพระยาเวห์   ก็ดีกว่ามีทรัพย์มากแต่มีความวิตกกังวลอยู่ด้วย”
(สุภาษิต 15:16 ฉบับมาตรฐาน)
“มีเล็กน้อยพร้อมกับมีความชอบธรรม   ก็ดีกว่ามีรายได้มากพร้อมกับความอยุติธรรม”
(สุภาษิต 16:8 ฉบับมาตรฐาน)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

แล้วเราจะกังวลไปทำไม?

ส่วนมากเรื่องที่เรากังวล  เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวล!

ถึงแม้ว่าในการค้นหาถึงปัญหาต่างๆ ทำให้เราเกิดความเครียด   แต่พวกเราส่วนมากแล้วจะวิตกกังวลมากมายหลายเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลกับมัน    จากผลการสำรวจวิจัยพบความน่าประหลาดคือ  หลายๆ เรื่องที่เรากังวลไม่มีความสำคัญจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปกังวล    ลองมาดูผลการสำรวจวิจัยดังกล่าว
  • 40% ของเรื่องที่เราวิตกกังวลทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเป็นจริง
  • 30% ของเรื่องที่เราวิตกกังวลทั้งหมดเป็นเรื่องในอดีตที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว
  • 12% ของความวิตกกังวลเกิดขึ้นจากคำวิพากษ์วิจารณ์เพราะผู้วิพากษ์รู้สึกว่าตนด้อยกว่า  
  • 10% ของความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเราที่กำลังเสื่อมทรุดลง
  • 8% ที่เราวิตกกังวลที่มีเหตุมีผลอันควรและความสำคัญจำเป็นที่จะต้องห่วงใยเอาใจใส่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น