นับจากวันอาทิตย์การคืนพระชนม์ไปอีก
7 สัปดาห์ ถึงวันอาทิตย์การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้น 50
วัน
เป็นช่วงเวลาที่กระผมขอเรียกเอาเองว่า “ฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์” เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนรับการทรงเปลี่ยนแปลง
เสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตของตนอย่างเป็นรูปธรรม
อ่าน ลูกา 24:1-11
ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์
พวกนางพบว่าก้อนหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว
และเมื่อเข้าไปหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า
(ข้อ 1-3 ฉบับมาตรฐาน)
“ความคิดเปลี่ยน...ชีวิตเปลี่ยน” เป็นคำพูดที่เราท่านคุ้นหู
“แต่ทำอย่างไรล่ะ...ที่ความคิดของคนเราถึงจะเปลี่ยน?” เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบครับ
เพราะถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรความคิดถึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าเช่นนั้นชีวิตก็คงไม่เปลี่ยนแน่? และที่สำคัญคือ ข้อมูลความรู้ไม่ได้ทำให้คนเราเปลี่ยนความคิดครับ เพราะคนเรามักติดยึดกับความคิดเดิมๆ ที่เราคุ้นชิน ดังนั้น
การเปลี่ยนแปลงทางความคิดจึงมิได้เกิดขึ้นได้ง่ายดาย หรือ ทันที
อีกประการหนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครับ ชอบอะไรที่คุ้นชิน ชอบทำอะไรตามสัญชาตญาณ มักจะคิดและตัดสินใจโดย “อัตโนมัติ”
พระเยซูคริสต์ทรงตระหนักชัดว่า คำพูด คำสอน คำเทศนา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ ที่ติดหนึบในจิตใจความคิดของสาวกที่ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดได้
ก่อนที่พระองค์จะถูกจับ ไต่สวน
และตัดสินให้ประหารชีวิต แล้วถูกนำไปฝังที่อุโมงค์
พระองค์บอกสาวกถึงปรากฏการณ์ใหม่จะเกิดขึ้นคือ ในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย
(มัทธิว 16:21; 17:22; 20:18;
26:32; มาระโก 8:31;
9:31; 10:33; ลูกา 9:22; 18:31)
แม้แต่ทูตสวรรค์ก็เตือนให้พวกเขาระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
(ลูกา 24:6-7) “และนางจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์” (ข้อ 8
ฉบับมาตรฐาน และดู ยอห์น 2:22 ด้วย)
การเปลี่ยนความคิดจนกลายเป็นความเชื่อใหม่เกิดขึ้นได้มิใช่เพราะ
ข้อมูล คำสอน และคำตรัสของพระเยซูคริสต์เท่านั้น
แต่เป็นเรื่องที่สาวกมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูคริสต์ในเรื่องนั้นๆ ที่ทำให้
“ความคิดและความเชื่อ” ของสาวกเปลี่ยนไป
ท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจนำมาซึ่งความกลัว
เพราะเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่สาวกคิดและคาดหวังตามความเคยชิน
ถึงแม้พระเยซูได้บอกเรื่องนี้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่สาวกคิดไม่ออก
จินตนาการไม่ได้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้เพราะพวกเขา “ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้”
ในครั้งแรกที่ต้องเข้าไปเผชิญกับสิ่งใหม่ที่ตนยังไม่รู้นั้นย่อมนำมาซึ่งการตกใจกลัว
พวกสาวกสตรี
แม้จะได้รับรู้คำกล่าวคำสอนของพระเยซูล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะถูกฆ่าให้ตาย ถูกบรรจุในอุโมงค์ ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพราะรู้เห็นแล้วในชีวิต แต่พระเยซูบอกต่อไปว่า แต่พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย เรื่องนี้จินตนาการไม่ออก คิดไม่ได้
บอกไม่ถูก ดังนั้น
จึงไม่มีในความเชื่อของพวกเธอ เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ถัดมาพวกเธอจึงเตรียมเครื่องหอมเพื่อจะมีชโลมศพพระเยซู ด้วยความเคารพและอาลัยหาถึงพระองค์
แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาด แผนการไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ก้อนหินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไป ไม่พบพระศพพระเยซู แล้วยังต้องมาพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนคือทูตสวรรค์
ประสบการณ์เช่นนี้สร้างความกลัวอย่างยิ่งแก่พวกเธอ
ท่ามกลางความตกใจกลัวนั้น ทูตสวรรค์ทำสองอย่างที่สำคัญคือ
การกระตุ้นให้พวกเธอได้คิดในเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยคิดคือ “ท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม?”
(ข้อ 7) ประการที่สอง พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว
(ข้อ 8)
แล้วจึงชวนพวกเธอให้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเคยพูดเคยสอนพวกเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อสาวกสตรีกลุ่มนี้ เผชิญหน้ากับประสบการณ์ตรงอย่างไม่ได้คิดไม่ได้ฝันมาก่อน แล้วเกิดความกลัว แต่ในเวลาเช่นนี้ เป็นโอกาสของการกระตุ้น
“ความคิดใหม่” เพื่อให้เกิด
“ความเชื่อใหม่” ในพวกเธอ แน่นอนครับพวกเธอเปลี่ยนความคิด แต่เมื่อเปลี่ยนความคิดความเชื่อแล้ว
ความกลัวก็กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง (มัทธิว 28:8 ฉบับมาตรฐาน)
ประสบการณ์ตรงทำให้สาวกสตรีกลุ่มนี้ กระจ่างในความเชื่อใหม่ว่า
พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย
การเปลี่ยนความคิดและความเชื่อนี้เองที่นำไปสู่
ชีวิตและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง
จากที่ตั้งใจจะมาชโลมพระศพพระเยซู กลับวิ่งไปบอกสาวกคนอื่นๆ ว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว บอกคนอื่นๆ ถึงประสบการณ์ใหม่ที่พวกเธอได้รับ บอกถึงแผนการของพระเยซูคริสต์ที่นัดหมายพบกันกับสาวกที่แคว้นกาลิลี
ความคิดเปลี่ยน
ความเชื่อเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน!
ใช่แล้วครับ...ทุกอย่างเปลี่ยน
เมื่อพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิต
และ ผ่านชีวิตของสาวกสตรีกลุ่มนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปสิ้น ทั้งนี้เพราะพวกเธอมิได้ทำตามความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ที่ตนคุ้นชินและมั่นใจต่อไป แต่พวกเธอเปลี่ยนความคิดความเชื่อตามประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ พวกเธอจึงอุทิศทั้งชีวิตทำตามแผนการของพระองค์
ที่สำคัญคือ เมื่อใดก็ตามที่เรามีประสบการณ์ตรงกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อนั้น
ความคิดความเชื่อของเราก็จะเปลี่ยน
และจะตามด้วยวิถีและวิธีการดำเนินชีวิตของเราก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่มุ่งดำเนินชีวิตตามแผนการและพระประสงค์ของพระองค์ แทนแผนการตามความปรารถนาของตนเอง
ดังนั้น
กระบวนการบ่มเพาะ
เสริมสร้างชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์
จึงมิใช่การเรียนรู้เรื่องราวความเชื่อตามพระคัมภีร์ในชั้นเรียนเท่านั้น แต่ผู้ที่จะเปลี่ยนใจ ยอมอุทิศชีวิต
เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสาวกพระคริสต์ ผู้นั้นจะต้องพบและมีประสบการณ์ตรงในชีวิตกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
เช่นกัน
การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มิใช่การบอกเล่าเรื่องราวของพระคริสต์แก่ผู้คนที่ยังไม่เชื่อเท่านั้น
แต่การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นการท้าชวนให้ผู้คนเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตให้พระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเจ้าของชีวิตของเขา
และเขาพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระองค์ และขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการนี้ของผู้ประกาศข่าวดีของพระคริสต์คือ การเป็นผู้หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตกับผู้ที่เราประกาศฯ
เมื่อชีวิตของเขาต้องเผชิญกับประสบการณ์ในพระคริสต์
ให้เรายอมละทิ้งความคิดเดิม ความเชื่อเดิม
การดำเนินชีวิตที่คุ้นชินเสีย
เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่ ความคิดใหม่
ความเชื่อใหม่
และการดำเนินชีวิตใหม่ตามแผนการพระคริสต์
ตั้งแต่วันนี้ไปให้เรามีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น