03 เมษายน 2556

ไม่เป็นอย่างที่คิด


นับจากวันอาทิตย์การคืนพระชนม์ไปอีก 7 สัปดาห์ ถึงวันอาทิตย์การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งสิ้น 50 วัน   เป็นช่วงเวลาที่กระผมขอเรียกเอาเองว่า ฤดูกาลแห่งชีวิตใหม่ในพระคริสต์”  เป็นช่วงเวลาที่คริสตชนรับการทรงเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตของตนอย่างเป็นรูปธรรม


อ่าน ลูกา 24:1-11

ตั้งแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์   พวกผู้หญิงก็นำเครื่องหอมที่จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์
พวกนางพบว่าก้อนหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว
และเมื่อเข้าไปหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า 
(ข้อ 1-3 ฉบับมาตรฐาน)

“ความคิดเปลี่ยน...ชีวิตเปลี่ยน”  เป็นคำพูดที่เราท่านคุ้นหู

“แต่ทำอย่างไรล่ะ...ที่ความคิดของคนเราถึงจะเปลี่ยน?”   เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบครับ  

เพราะถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรความคิดถึงจะเปลี่ยนได้   ถ้าเช่นนั้นชีวิตก็คงไม่เปลี่ยนแน่?   และที่สำคัญคือ  ข้อมูลความรู้ไม่ได้ทำให้คนเราเปลี่ยนความคิดครับ   เพราะคนเรามักติดยึดกับความคิดเดิมๆ ที่เราคุ้นชิน   ดังนั้น   การเปลี่ยนแปลงทางความคิดจึงมิได้เกิดขึ้นได้ง่ายดาย หรือ ทันที

อีกประการหนึ่ง   คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครับ   ชอบอะไรที่คุ้นชิน   ชอบทำอะไรตามสัญชาตญาณ   มักจะคิดและตัดสินใจโดย “อัตโนมัติ”

พระเยซูคริสต์ทรงตระหนักชัดว่า  คำพูด คำสอน คำเทศนา  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ ที่ติดหนึบในจิตใจความคิดของสาวกที่ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดได้

ก่อนที่พระองค์จะถูกจับ ไต่สวน และตัดสินให้ประหารชีวิต   แล้วถูกนำไปฝังที่อุโมงค์   พระองค์บอกสาวกถึงปรากฏการณ์ใหม่จะเกิดขึ้นคือ   ในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย (มัทธิว 16:21;  17:22;  20:18;  26:32;  มาระโก 8:31; 9:31;  10:33;  ลูกา 9:22;  18:31)   แม้แต่ทูตสวรรค์ก็เตือนให้พวกเขาระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว (ลูกา 24:6-7)   “และนางจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์”  (ข้อ 8 ฉบับมาตรฐาน  และดู ยอห์น 2:22 ด้วย)

การเปลี่ยนความคิดจนกลายเป็นความเชื่อใหม่เกิดขึ้นได้มิใช่เพราะ ข้อมูล คำสอน และคำตรัสของพระเยซูคริสต์เท่านั้น   แต่เป็นเรื่องที่สาวกมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูคริสต์ในเรื่องนั้นๆ ที่ทำให้ “ความคิดและความเชื่อ” ของสาวกเปลี่ยนไป

ท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจนำมาซึ่งความกลัว  

เพราะเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่สาวกคิดและคาดหวังตามความเคยชิน   ถึงแม้พระเยซูได้บอกเรื่องนี้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม  แต่สาวกคิดไม่ออก จินตนาการไม่ได้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไร  ทั้งนี้เพราะพวกเขา “ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้”  ในครั้งแรกที่ต้องเข้าไปเผชิญกับสิ่งใหม่ที่ตนยังไม่รู้นั้นย่อมนำมาซึ่งการตกใจกลัว

พวกสาวกสตรี  แม้จะได้รับรู้คำกล่าวคำสอนของพระเยซูล่วงหน้าแล้วว่า  พระองค์จะถูกฆ่าให้ตาย   ถูกบรรจุในอุโมงค์   ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้  เพราะรู้เห็นแล้วในชีวิต    แต่พระเยซูบอกต่อไปว่า   แต่พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย   เรื่องนี้จินตนาการไม่ออก   คิดไม่ได้  บอกไม่ถูก   ดังนั้น จึงไม่มีในความเชื่อของพวกเธอ   เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ถัดมาพวกเธอจึงเตรียมเครื่องหอมเพื่อจะมีชโลมศพพระเยซู   ด้วยความเคารพและอาลัยหาถึงพระองค์

แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาด  แผนการไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด   ก้อนหินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไป   ไม่พบพระศพพระเยซู   แล้วยังต้องมาพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนคือทูตสวรรค์   ประสบการณ์เช่นนี้สร้างความกลัวอย่างยิ่งแก่พวกเธอ

ท่ามกลางความตกใจกลัวนั้น   ทูตสวรรค์ทำสองอย่างที่สำคัญคือ   การกระตุ้นให้พวกเธอได้คิดในเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยคิดคือ  “ท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม?” (ข้อ 7)   ประการที่สอง พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว (ข้อ 8)   แล้วจึงชวนพวกเธอให้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเคยพูดเคยสอนพวกเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่อสาวกสตรีกลุ่มนี้ เผชิญหน้ากับประสบการณ์ตรงอย่างไม่ได้คิดไม่ได้ฝันมาก่อน  แล้วเกิดความกลัว   แต่ในเวลาเช่นนี้ เป็นโอกาสของการกระตุ้น “ความคิดใหม่”  เพื่อให้เกิด “ความเชื่อใหม่”  ในพวกเธอ   แน่นอนครับพวกเธอเปลี่ยนความคิด   แต่เมื่อเปลี่ยนความคิดความเชื่อแล้ว   ความกลัวก็กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง (มัทธิว 28:8 ฉบับมาตรฐาน)

ประสบการณ์ตรงทำให้สาวกสตรีกลุ่มนี้  กระจ่างในความเชื่อใหม่ว่า พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย

การเปลี่ยนความคิดและความเชื่อนี้เองที่นำไปสู่ ชีวิตและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง

จากที่ตั้งใจจะมาชโลมพระศพพระเยซู   กลับวิ่งไปบอกสาวกคนอื่นๆ ว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว   บอกคนอื่นๆ ถึงประสบการณ์ใหม่ที่พวกเธอได้รับ   บอกถึงแผนการของพระเยซูคริสต์ที่นัดหมายพบกันกับสาวกที่แคว้นกาลิลี

ความคิดเปลี่ยน  ความเชื่อเปลี่ยน  ชีวิตเปลี่ยน!

ใช่แล้วครับ...ทุกอย่างเปลี่ยน

เมื่อพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิต และ ผ่านชีวิตของสาวกสตรีกลุ่มนี้   ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปสิ้น   ทั้งนี้เพราะพวกเธอมิได้ทำตามความคิดเดิมๆ  ความเชื่อเดิมๆ ที่ตนคุ้นชินและมั่นใจต่อไป   แต่พวกเธอเปลี่ยนความคิดความเชื่อตามประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์   พวกเธอจึงอุทิศทั้งชีวิตทำตามแผนการของพระองค์

ที่สำคัญคือ เมื่อใดก็ตามที่เรามีประสบการณ์ตรงกับองค์พระผู้เป็นเจ้า   เมื่อนั้น ความคิดความเชื่อของเราก็จะเปลี่ยน   และจะตามด้วยวิถีและวิธีการดำเนินชีวิตของเราก็จะเปลี่ยน   เปลี่ยนเป็นชีวิตในพระเยซูคริสต์   ที่มุ่งดำเนินชีวิตตามแผนการและพระประสงค์ของพระองค์   แทนแผนการตามความปรารถนาของตนเอง

ดังนั้น   กระบวนการบ่มเพาะ  เสริมสร้างชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์   จึงมิใช่การเรียนรู้เรื่องราวความเชื่อตามพระคัมภีร์ในชั้นเรียนเท่านั้น    แต่ผู้ที่จะเปลี่ยนใจ  ยอมอุทิศชีวิต   เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสาวกพระคริสต์   ผู้นั้นจะต้องพบและมีประสบการณ์ตรงในชีวิตกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เช่นกัน   การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มิใช่การบอกเล่าเรื่องราวของพระคริสต์แก่ผู้คนที่ยังไม่เชื่อเท่านั้น   แต่การประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นการท้าชวนให้ผู้คนเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตให้พระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  เป็นเจ้าของชีวิตของเขา   และเขาพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระองค์   และขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการนี้ของผู้ประกาศข่าวดีของพระคริสต์คือ  การเป็นผู้หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตกับผู้ที่เราประกาศฯ เมื่อชีวิตของเขาต้องเผชิญกับประสบการณ์ในพระคริสต์

ให้เรายอมละทิ้งความคิดเดิม  ความเชื่อเดิม  การดำเนินชีวิตที่คุ้นชินเสีย

เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่   ความคิดใหม่  ความเชื่อใหม่  และการดำเนินชีวิตใหม่ตามแผนการพระคริสต์  

ตั้งแต่วันนี้ไปให้เรามีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น