ลูกา 22:31-34
33 ฝ่าย...(เปโตร)จึงทูลพระองค์ว่า
“พระองค์เจ้าข้า
ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์
ถึงจะต้องติดคุกหรือถึงความตายก็ดี”
34 พระองค์ตรัสว่า
“เปโตรเอ๋ย
เราจะบอกท่านวันนี้ก่อนไก่ขัน
ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
32
แต่เรา(พระเยซูคริสต์)ได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน(เปโตร) เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด
และเมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”
(ลูกา 22:33-34, 32 มตฐ.)
เปโตรเป็นสาวกที่แสดงออกถึงความเชื่อและความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่
แต่เราท่านที่ได้อ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ต่างก็รู้ว่า ลักษณะที่ปากไวใจถึงทำให้เขาต้องทำให้เขาต้องเสียหน้าอับอาย ที่เปโตร
ปากไวใจถึงจนทำให้เขาเสียคนมากกว่าที่จะมีภาพลักษณะของ “ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อและเชื่อฟัง”
เมื่อผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เมื่อเราต้องพ่ายแพ้ต่อการทดลอง หรือ กบฏต่อพระราชอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะยอมปล่อยให้อำนาจชั่วร้ายใช้ความพ่ายแพ้ของเราลากชีวิตของเราให้พรากไปจากพระเจ้าหรือ ความจริงที่คริสตชนจะต้องเชื่อและตระหนักชัดเจนว่า ในเวลาที่ชีวิตพ่ายแพ้นั้น พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเรา พระองค์ทรงเปิดโอกาส พระองค์ทรงพร้อมที่จะเริ่มต้นกับเราใหม่ พระองค์พร้อมที่จะเสริมสร้าง และ ฝึกฝนชีวิตใหม่แก่เรา
สำหรับชีวิตคริสตชนแล้วต้องจำไว้เสมอว่า ยิ่งชีวิตพ่ายแพ้ ล้มเหลว ชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคาดหวัง คริสตชนยิ่งจะต้องใกล้ชิดสนิทพระเจ้า เกาะยึดพระองค์ไว้แน่น เพราะการเชื่อฟังพระเจ้าเป็นกระบวนการเรียนรู้ และความล้มเหลวที่เราประสบเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาให้เราเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมลง
การล้มเหลวเป็นเครื่องมือหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้เราเกิดการเรียนรู้
และ พัฒนา เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราขึ้นใหม่ การที่ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลง พัฒนา
และจนเกิดผลได้เพราะ ชีวิตของเราต้องติดสนิทกับพระเจ้า ชีวิตที่พ่ายแพ้เหี่ยวเฉาที่เกิดขึ้นเพราะเรา
เป็นเหมือนกิ่งที่ “ขาดน้ำเลี้ยง” จากต้น
ที่ขาดน้ำเลี้ยงเพราะกิ่งนั้นถูกทำให้หักฉีกขาดจากลำต้น สำหรับคริสตชนแล้วชีวิตเราต้องติดสนิทคือดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ “5เราเป็นเถาองุ่น
พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา
คนนั้นจะเกิดผลมาก
เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 6ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา
คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป...” (ยอห์น 13:5-14)
การพ่ายแพ้ล้มเหลวในชีวิตมิได้เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ลับตาจากพระเจ้า หรือเมื่อเราอยู่ห่างไกลจากพระองค์
ท่านเชื่อไหมชีวิตของเราต้องลื่นล้มขณะที่กำลังอยู่ใกล้และสนทนากับพระองค์? ท่านเชื่อไหมว่าอำนาจชั่วมาฉุดลากกระชากเราให้ออกห่างจากพระเจ้า เมื่อเราพยายามหาทางมีส่วนในการทำงานของพระเจ้า เมื่อเรากำลังหวังดีต่อพระองค์
เวลาที่เราคิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญของพระเจ้า เวลาที่เรากำลังใกล้ชิดพระองค์
อำนาจชั่วกระตุ้นให้เราคิดอย่างที่ใจเราปรารถนา แม้ดูว่าจะเป็นการคิดดีต่อพระเจ้าก็ตาม
แต่
“...เพราะเจ้าคิดอย่างคน
ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า” (ยอห์น
8:33 มตฐ.)
บ่อยครั้ง
มารมาตอนเราเผลอ... และทำให้เรา บอกพระเจ้าให้ทำตามความคิดของเรา!
เปโตรทักท้วงแผนการแห่งการทรงช่วยกู้มนุษย์ของพระเจ้า
“...ส่วนเปโตรนั้นพาพระองค์แยกออกมาแล้วทูลทักท้วง”
(มาระโก 8:32)
แต่พระคริสต์ไม่ยอมให้โอกาสแก่มารที่มาแย่งเปโตรจากพระองค์
ด้วยการความคิดของตนเองที่ขัดขวางแผนการของพระเจ้า
พระองค์ทรงขับไล่อำนาจชั่วที่อยู่ในความคิดของเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น
เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า” (8:33) เรามักสนใจเอาใจใส่ระแวดระวังไม่ให้อำนาจชั่วมาชักจูงเราในการกระทำผิด
แต่มักมองข้ามอำนาจชั่วที่มาชักจูงให้เราคิดผิดคิดชั่ว
และการคิดผิดคิดชั่วนี้เองที่ทำให้เราหลงใหลทำสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์อย่างเป็นระบบ อย่างเป็นกระบวนการ
การใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าทุกวันจึงเป็นโอกาสที่พระคริสต์จะทรงปกป้องเราจากอำนาจชั่วร้าย
อย่างที่พระองค์ทรงปกป้องเปโตรจากอำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำความคิดของเขา
สิ่งที่คริสตชนควรระแวดระวังตรวจสอบตนเองเสมอในการดำเนินชีวิตของตนคือ ที่อำนาจชั่วร้ายใช้เรื่อง “ความกลัว”
เข้ามาทำให้เราหมดความเชื่อไว้วางใจในพระเจ้า
ในกรณีนี้อำนาจชั่วเข้ามามีอำนาจครอบงำ “ความรู้สึกกลัว” ของเรา
แล้วใช้ความรู้สึกกลัวนั้นแสดงออกถึงการที่เราขาดความเชื่อ ความไว้วางใจพระเจ้าหดหายลง
ความกลัวดังกล่าวที่เกิดขึ้นมิได้เกิดขึ้นเพราะเราอยู่เหินห่างจากพระเจ้า ที่เราเกิดความกลัวลานเพราะเรามุ่งมองที่สถานการณ์รอบด้านมันน่ากลัว วุ่นวาย
ร้ายแรง
ทำให้เราเกิดความกลัวอย่างมาก พระเยซูประทับบนเรือกับสาวก “37...
มีพายุใหญ่เกิดขึ้น
คลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนน้ำจวนจะเต็มเรืออยู่แล้ว 38 ส่วนพระองค์กำลังบรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ
พวกสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์
พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ?” (มาระโก 4:37-38 มตฐ.) เสียงพูดแบบนี้ช่างคุ้นๆ หูเรามิใช่หรือ?
เมื่อพระเจ้าไม่ตอบสนองในสถานการณ์วิกฤติของเราอย่างที่เราคาดหวัง เราเกิดคำถามในจิตใจว่า ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเรา? พระเจ้าไม่สนใจเราแล้วหรือ?
บ่อยครั้งเรามักให้ความสนใจมุ่งมองแต่สถานการณ์ที่ล่อแหลม รุนแรง
และวิกฤติ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเชื่อของเราหดหายอ่อนกำลัง “40... “ทำไมพวกเจ้ากลัว? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?” (4:40) แต่วิกฤติที่เกิดขึ้น
กับความอ่อนแอในความเชื่อที่ปรากฏ
และเมื่อสาวกมองไปที่พระคริสต์ที่ทรงห้ามลมพายุ ทำให้พวกสาวกต้องเรียนรู้ใหม่ว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันหนอ? ขนาดลมกับทะเลยังเชื่อฟังท่าน?” (ข้อ 41)
28เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (โรม 8:28 มตฐ) สาวกได้นำบทเรียนที่ได้รับเหล่านี้ซึมลึกลงในจิตใจเพื่อให้ความเชื่อของเขาเข้มแข็งเติบโตขึ้น
พระเจ้าทรงใช้ความล้มเหลวของเปโตรเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนชีวิตของสาวกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระองค์ เพราะสาวกต้องการที่เติบโตขึ้นเพื่อรับใช้พระองค์
เราแต่ละคนต้องการที่จะเติบโตขึ้นในความเชื่อโดยที่ไม่ต้องกระทำผิดต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า แต่เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าย่างก้าวที่ผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เป็นสิ่งที่สอนเรา ความล้มเหลวสอนให้ผู้เชื่อให้มีความเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อมีปัญญามากขึ้นและรับประโยชน์ในชีวิตมากขึ้น และนี่เป็นบทเรียนชีวิตที่เราทุกคนควรจะใส่ใจ และระแวดระวังความคิดของเราด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น