เมื่อคนเราได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย หรือ แย่ๆ เรามักพูดว่าอย่างไรครับ บางคนอาจจะพูดว่า
- ช่างมันเถอะ... เพราะฉันไม่สนใจที่จะทำงานชิ้นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
- จบสิ้นกันชีวิตฉัน...
- เลิกกันที...อย่าทำมันอีกเลย
- ฉันได้รับประสบการณ์จากการทำผิดพลาดของฉัน แต่จะมีใครช่วยฉันหรือเปล่าเนี่ยะ
- เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่า มีสามวิธีที่ไม่ได้ผล ฉันจะทดลองต่อไป
คำตอบเหล่านี้บอกเรามากกว่าประสบการณ์ที่เลวร้าย แต่บอกเราถึงมุมมองของผู้ตอบคนนั้นๆ แม้จะได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายเดียวกัน แต่มีการตอบที่แตกต่างหลากหลาย
ถ้าเราทบทวนถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เราจะพบเห็นว่า หลายครั้งที่การกระทำผิดพลาดได้สร้างความเจ็บปวดในชีวิตของเรา
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปชุดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เรากลับเรียกสิ่งนั้นว่า “ประสบการณ์”
การที่แต่ละคนจะมองประสบการณ์ความยากลำบากอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ผมคิดย้อนหลังไปในอดีตเมื่อยังเป็นเด็ก
ผมจำได้ว่า เวลานั้นอาศัยที่บ้านตายาย หลังบ้านเป็นแม่น้ำ คุณอาพาผมลงเล่นน้ำ ผมว่ายน้ำไม่เป็นจึงต้องใช้ห่วงยางและคุณอาเอาขาข้างหนึ่งคล้องห่วงยางของผมแล้วพาว่ายข้ามฟากไปฝั่งโน้น
ในเวลานั้นผมรู้สึกว่าแม่น้ำนี้กว้างใหญ่มาก แต่ภายหลังผมโตเป็นผู้ใหญ่กลับไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านนั้นอีก ผมไปดูแม่น้ำที่ผมเคยว่ายข้ามด้วยห่วงยาง ผมรู้สึกว่ามันทำไมแคบนิดเดียว
เมื่อเป็นเด็กผมรู้สึกว่าแม่น้ำนั้นกว้างใหญ่
แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่กลับรู้สึกว่ามันแคบเล็กลงมาก ทั้งๆ ที่คุณอายืนยันว่า “มันก็เหมือนเดิม”
เมื่อเราต้องพบกับความยากลำบากในชีวิต การที่จะมีมุมมองไม่ให้อ่อนไหวตามความรู้สึกของเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่การมีมุมมองที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องมี ซึ่งมีสามประเด็นในเรื่องนี้ที่น่าสนใจ
อย่าใช้ประสบการณ์ที่เลวร้ายมาตีค่าชีวิตของตนเอง
เมื่อเกิดประสบการณ์ที่แย่ๆ จากการทำงานหรือการดำเนินชีวิต เราต้องตระหนักชัดก่อนว่าประสบการณ์แย่ๆ ที่เราได้รับนั้น
มิใช่ ตัวบ่งบอกหรือชี้ชัดว่าเราเป็นคนเช่นนั้น! เพราะบ่อยครั้ง ประสบการณ์ที่เราได้รับนั้นมิได้เกิดขึ้นเพราะการคิด การตัดสินใจ
หรือการกระทำของเราแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น
นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมที่ตอบสนองต่อการกระทำในครั้งนั้นด้วย ดังนั้น
จึงไม่ควรให้ประสบการณ์ที่เราได้รับในครั้งนั้นเป็นตัวตีค่า กำหนด
บ่งบอกภาพลักษณ์ความเป็นเราตามประสบการณ์ที่เราได้รับ จนตีค่าว่า “เราล้มเหลว”
แต่สิ่งสำคัญคือ พยายามที่จะวิเคราะห์
เสาะหาที่จะเข้าใจในผลที่เกิดขึ้นจนเป็นบทเรียนจากประสบการณ์ของเรา และให้เข้าใจและยอมรับว่าเราเป็นคนๆ หนึ่ง และเมื่อต้องประสบกับความล้มเหลวในชีวิต อย่าตีตราตนเองว่า “ฉันเป็นคนล้มเหลว” แต่เราต้องมีมุมมองที่ชัดเจนในเวลาเช่นนั้นว่า
“ฉันกำลังพบกับความผิดพลาด... แต่มันไม่ใช่เป็นการล้มเหลว จบสิ้น
ใช่ครั้งนี้ฉันผิดพลาดจริง แต่ยังมีทางออกที่จะทำให้ถูกต้อง
สำเร็จเป็นจริงได้”
อย่าคลุกย่ำในโคลนตมแห่งความสงสารตนเอง
การกระทำที่แย่ๆ ประการหนึ่งที่เรามักทำกับตนเองเมื่อเกิดประสบการณ์ที่เลวร้ายคือ การสงสารตนเอง เป็นธรรมดาของคนเราครับที่ประสบกับประสบการณ์ที่แย่ๆ
เรามักรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ
แล้วรู้สึกสงสารตนเอง
คนเรามีความรู้สึก
เรายอมรับความรู้สึกนั้น แต่ที่สำคัญคืออย่ายอม
“ตกเป็นเหยื่อ” ของความรู้สึกดังกล่าว
หรืออย่ายอมให้ความรู้สึกสงสารตนเองเพิ่มพูนทวีคูณจนครอบทับทั้งชีวิตของเราจนยอมแพ้ราบคาบ
ความรู้สึกสงสารตนเองย่อมเกิดขึ้นได้ในแต่ละคน แต่เราจะต้องสามารถควบคุมความรู้สึกสงสารตนเอง เราอาจจะสงสารตนเองสักพักหนึ่งได้ แล้วให้เราสลัด “ความสงสารตนเอง”
ให้หลุดออกไปจากห้วงคิดความรู้สึก
ลุกขึ้นแล้วเริ่มก้าวออกจาก “ปลักโคลนแห่งความสงสารตนเอง” เพราะถ้าเรายังย่ำคลุกตนเองในปลักโคลนตมแห่งการสงสารตนเองแล้ว มันจะดูดดึงเราให้จมลึกลงในโคลนตมนั้นกว่าเดิม จนในที่สุดเราจะฉุดตนเองออกจากโคลนตมแห่งความสงสารตนเองไม่ได้
เราต้องเชื่อว่าเราก้าวและหลุดออกจากปลักโคลนตมแห่งการสงสารตนเองได้
เพราะสิ่งดีสำหรับเราและคนอื่นกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า สิ่งที่เราต้องทำคือ “ต้องก้าวต่อไป”
เราจะต้องตระหนักชัดว่า
ประสบการณ์ที่เลวร้ายที่เราเผชิญนี้เป็นเพียงสัจจะความจริงเพียงครึ่งเดียวของประสบการณ์ทั้งหมด อีกครึ่งหนึ่งคือประสบการณ์ที่เราจะรู้ว่า เราจะหลุดรอดออกจากแรงดูดของโคลนตมแห่งการสงสารตนเองในประสบการณ์ความเร็วร้ายนี้อย่างไร
เมื่อใดที่เราสามารถก้าวหลุดออกจากแรงดูดของโคลนตมนี้เราได้รับประสบการณ์แห่งสัจจะอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อนั้น
เราสามารถที่จะเอาประสบการณ์ที่เลวร้ายมาประกบเข้ากับประสบการณ์การหลุดรอดออกจากโคลนตมเป็นประสบการณ์เต็มในชีวิต
และเราสามารถที่จะใช้ประสบการณ์เต็มนี้ช่วยเหลือเพื่อนๆ ของเรา เพื่อให้สามารถผ่านทะลุประสบการณ์ที่แย่และเลวร้ายที่เขาประสบพบเจอได้
อย่ามองประสบการณ์ความล้มเหลวแยกส่วนจากประสบการณ์ความสำเร็จ
เมื่อเราล้มเหลว เราได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย
แต่มันอยู่ที่เราจะมองจะเรียกประสบการณ์ที่ล้มเหลวเลวร้ายนั้นว่าอะไร นั่นแหละคือตัวจริงของความคิด ความรู้สึก
และความเชื่อของเราในเวลาเช่นนั้น
หลายคนเรียกประสบการณ์ความล้มเหลวเลวร้ายว่า
นี่เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากที่เราคิด
นี่เป็นการทดลองข้อสมมติฐาน
เรากำลังค้นหาและจัดเก็บข้อมูลในเรื่องนี้อยู่
คนกลุ่มนี้เขามีมุมมองเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้รับอย่างมีพลัง
เขาไม่จมจ่อมอยู่ในประสบการณ์ความล้มเหลวนั้นแต่เพียงคนเดียว
แต่เขากลับนำสิ่งที่เขาได้รับแต่ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดคิดหรือคาดหวังแบ่งปัน
พูดคุย ปรึกษากับคนอื่น
เพื่อที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เลวร้ายนั้น เพื่อที่จะหา “แรงงัด”
สู่ความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้าเขา
และนี่คือมุมมองที่ทรงพลังมิใช่หรือ!
นักจิตวิทยา
Dr. Joyce Brothers กล่าวไว้ว่า “คนที่สนใจในความสำเร็จ เขาเรียนรู้ที่จะมอง “ความล้มเหลว”
ว่าเป็นสิ่งดีมีประโยชน์
เป็นขั้นตอนก้าวเดินสู่สุดยอดของความสำเร็จที่เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้”
ใช่ครับ
เราไม่ควรมีมุมมองแบบแยกส่วน
ที่แยกประสบการณ์ที่ล้มเหลวเลวร้ายออกจากประสบการณ์แห่งความสำเร็จ
แต่ประสบการณ์ทั้งสองส่วนนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้จากกระบวนการเดียวกัน
แต่ถ้าเราแยกประสบการณ์ส่วนความล้มเหลวออกจากประสบการณ์ความสำเร็จ
เราก็มักไปติดแหงกอยู่แค่ประสบการณ์ของความเลวร้ายล้มเหลว ไปไม่ถึงประสบการณ์แห่งความสำเร็จเสร็จครบสักที!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น