02 พฤศจิกายน 2556

งานรับใช้ของท่านเป็นส่วนหนึ่งในงานรับใช้ของ “เรา”

อ่านเอเฟซัส 4:11-16

11...พระ​องค์​เอง​ประ​ทาน​ให้​บาง​คน​เป็น​อัคร​ทูต
บาง​คน​เป็น​ผู้​เผย​พระ​วจนะ
บาง​คน​เป็น​ผู้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ
บาง​คน​เป็น​ศิษยาภิบาล​และ​อา​จารย์   

12 เพื่อ​เตรียม​ธรรมิก​ชน(ประชากรของพระเจ้า) ​สำ​หรับ​การ​ปรนนิบัติ(พันธกิจการรับใช้)​ และ​ การ​เสริม​สร้าง​พระ​กาย​ของ​พระ​คริสต์

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ  และ
ในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:11-13  มตฐ.)

อย่างที่เราพบสัจจะความจริงจากเอเฟซัส 4:11-12 แล้วว่า   ประชากรของพระเจ้าทุกคนเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์   ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรเป็น “โค้ช” ในการเสริมสร้างและฝึกฝนให้สมาชิกแต่ละคนในคริสตจักรเป็นคนรับใช้ในพันธกิจด้านต่างๆ ของพระคริสต์ทั้งในคริสตจักร และ ในสังคมโลก   ดังนั้น  ท่านและข้าพเจ้าต่างฟันธงสรุปได้เลยว่าเราต่างเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์   แต่ละคนต่างมีงานรับใช้พระคริสต์ผ่านงานอาชีพ  หน้าที่การงาน  ในชุมชน  ในกลุ่มเพื่อนฝูง  ในครอบครัว และในคริสตจักรด้วย   เป็นการรับใช้พระคริสต์ด้วยทั้งชีวิตของเราตามพระประสงค์ของพระองค์

ที่กล่าวมานี้เป็นสัจจะความจริงของชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักร   แต่ยังมิใช่สัจจะความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น   เป็นสัจจะความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น   และนี่เป็นจุดที่คริสตจักรอาจจะมองข้ามมองผ่านไป   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่ทั้งคริสตจักรถูกครอบงำด้วยมุมมองและความคิดแบบปัจเจกนิยม   ซึ่งถ้าเราอ่านและศึกษาในพระธรรมตอนนี้ท้ายข้อที่ 12 และในข้อ 13  เราจะพบความคิดที่ว่า  “พันธกิจการรับใช้ของท่านเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจการรับใช้ของเราด้วย”

สัจจะความจริงในข้อที่ 12  กล่าวถึงศิษยาภิบาลและผู้นำทำการบ่มเพาะ  เสริมสร้าง  และฝึกฝนธรรมิกชน (ประชากรของพระเจ้า”ให้เป็นคนรับใช้ในพันธกิจ  หรือที่อมตธรรมแลว่า “พันธกิจการรับใช้”  ซึ่งแปลมาจากภาษากรีกคำว่า “ไดอาโคเนีย” (คำว่า diakonia  แปลว่า “พันธกิจ” หรือ “งานบริการรับใช้” ก็ได้)   ภาพรวมของข้อ 12 คือภาพของศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรได้ร่วมกันเสริมสร้าง และ ฝึกฝนให้สมาชิกแต่ละคนรับใช้ในงานของพระเจ้าด้วยกัน

และในท้ายข้อที่ 12 และ ข้อที่ 13  ได้ขยายความต่อไปว่า  12...(เพื่อ)เสริมสร้างพระกายของพระคริสต์       13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ  และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า  จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”   จากการเสริมสร้างและฝึกฝนสมาชิกคริสตจักรให้เป็นคนรับใช้ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิตของคริสตจักร   น่าสังเกตว่าทำให้ชีวิตคริสตจักรมีเอกภาพหรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   และทำให้พระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรเติบโตขึ้น   แต่ในที่นี้ไม่ได้เน้นเฉพาะว่ามีสมาชิกมากขึ้น  หรือเป็นคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้น  แต่เน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมิใช่ภาพภายนอกเท่านั้น   แต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับลึกของชีวิตคือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ   และรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า   นั่นหมายความว่า สมาชิกในคริสตจักรเกิดเอกภาพที่มีชีวิตเติบโตเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   ดังนั้น  การเติบโตขึ้นในพระธรรมตอนนี้เป็นการเน้นย้ำถึงการเติบโตขึ้นด้านคุณภาพชีวิตเหมือนพระคริสต์มากกว่าการเน้นที่ขนาดคริสตจักรหรือจำนวนสมาชิก

แน่นอนครับ  เราแต่ละคนเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์   แต่ละคนมีงานรับใช้พระองค์ที่แตกต่างกันไป   มีสถานที่รับใช้ที่แตกต่างกันไป   และเราต่างมีโอกาสในการรับใช้พระคริสต์ในสังคมชุมชนโลกนี้    แต่ถ้าเราแต่ละคนมีมุมมองว่างานรับใช้พระคริสต์ที่เราทำอยู่นั้นแยกออกต่างหากจากคนอื่นๆ ในคริสตจักร    เมื่อนั้น ได้กระทำการรับใช้ที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สวนทางกับพระธรรมตอนนี้   เพราะในพระธรรมตอนนี้ได้ให้สัจจะความจริงแก่เราว่า   งานรับใช้ที่เราแต่ละคนกระทำนั้นเป็นการกระทำ “ในพระนามของพระคริสต์”  และกระทำร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ  ยิ่งกว่านั้นเป็นการกระทำงานรับใช้ที่ประสาน  หนุนเสริม  ที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ในคริสตจักร   โดยพระธรรมตอนนี้ได้ให้ภาพการทำงานที่แต่ละคนเป็นอวัยวะต่างๆ ในพระกายของพระคริสต์ที่ทำงานรับใช้ที่สอดประสานกัน   และที่สำคัญต้องทำให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะ

บ่อยครั้งที่เราพบว่า  สมาชิกคริสตจักรบางคนทำงานรับใช้พระคริสต์เฉพาะกลุ่มของตนเอง   (คริสตจักรไม่รู้  สมาชิกคนอื่นไม่เกี่ยว)    เป็นการทำการรับใช้พระคริสต์ที่แยกตัวจากผู้เชื่อคนอื่นๆ ในคริสตจักร   นอกจากเป็นการทำงานรับใช้พระคริสต์ที่สวนสัจจะความจริงของพระคัมภีร์แล้ว   เรามักพบว่างานรับใช้ประเภทนี้มักประสบความล้มเหลวในที่สุด   (เพราะบางกรณีใช้การทำงานรับใช้พระคริสต์ในการสร้างฐานอำนาจในคริสตจักร   หรือเป็นการสร้างอนุสาวรีย์สำหรับตนเอง   และที่พบบ่อยเช่นกันคือความไม่โปร่งใสในการใช้เงินงบประมาณ)

ขอเน้นย้ำในที่นี้ว่า   ถ้าเราพยายามที่จะแยกงานรับใช้พระคริสต์มาทำต่างหากสำหรับตนเองและพรรคพวกเท่านั้นงานนั้นจะไม่เสริมสร้างเอกภาพ หรือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และ เสริมสร้างการเติบโตและความเข้มแข็งของคริสตจักร   แต่ถ้าเราทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ร่วมกันในพระนามของพระคริสต์  ประสานเสริมหนุนกันและกัน  และสอดคล้องตามพระประสงค์ของพระคริสต์แล้ว   งานรับใช้นั้นจะเกิดผล  เพราะมิใช่เราและสมาชิกคนอื่นๆ ในคริสตจักรกระทำงานรับใช้ร่วมกันเท่านั้น   แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนพันธกิจการรับใช้ของเราในคริสตจักร   ในการรับใช้คริสตจักรและชุมชน  และในการอภิบาลสังคมในพระนามของพระคริสต์

ที่สำคัญคือ เราผู้เป็นสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนต้องตระหนักว่า  “งานรับใช้ของท่านเป็นส่วนหนึ่งในงานรับใช้ของเรา” ในคริสตจักร

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ส่วนใหญ่สมาชิกในคริสตจักรของท่านที่ทำงานรับใช้พระคริสต์จะทำเป็นการส่วนตัว หรือ เป็นการทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ร่วมกับสมาชิกอื่นๆ ในคริสตจักร?   ขอยกตัวอย่าง

2. ท่านคิดเห็นอย่างไรต่อสัจจะความจริงจากพระธรรมตอนนี้ที่ว่า   การทำพันธกิจรับใช้พระคริสต์ของคริสตจักร   ควรเป็นการกระทำที่ร่วมไม้ร่วมมือ  หนุนเสริม  และสอดประสานกันทั้งคริสตจักร?   ท่านคิดว่าเป็นสัจจะความจริงที่กระทำได้หรือไม่ได้ในคริสตจักรของท่าน?  ทำไม?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น