อ่านเอเฟซัส
4:11-16
11...พระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ
บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชน(ประชากรของพระเจ้า) สำหรับการปรนนิบัติ(พันธกิจการรับใช้)
และ การเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และ
ในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:11-13
มตฐ.)
อย่างที่เราพบสัจจะความจริงจากเอเฟซัส
4:11-12 แล้วว่า
ประชากรของพระเจ้าทุกคนเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรเป็น “โค้ช”
ในการเสริมสร้างและฝึกฝนให้สมาชิกแต่ละคนในคริสตจักรเป็นคนรับใช้ในพันธกิจด้านต่างๆ
ของพระคริสต์ทั้งในคริสตจักร และ ในสังคมโลก
ดังนั้น ท่านและข้าพเจ้าต่างฟันธงสรุปได้เลยว่าเราต่างเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์
แต่ละคนต่างมีงานรับใช้พระคริสต์ผ่านงานอาชีพ หน้าที่การงาน
ในชุมชน ในกลุ่มเพื่อนฝูง ในครอบครัว และในคริสตจักรด้วย
เป็นการรับใช้พระคริสต์ด้วยทั้งชีวิตของเราตามพระประสงค์ของพระองค์
ที่กล่าวมานี้เป็นสัจจะความจริงของชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักร แต่ยังมิใช่สัจจะความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสัจจะความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และนี่เป็นจุดที่คริสตจักรอาจจะมองข้ามมองผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่คนส่วนใหญ่ทั้งคริสตจักรถูกครอบงำด้วยมุมมองและความคิดแบบปัจเจกนิยม
ซึ่งถ้าเราอ่านและศึกษาในพระธรรมตอนนี้ท้ายข้อที่ 12
และในข้อ 13
เราจะพบความคิดที่ว่า
“พันธกิจการรับใช้ของท่านเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจการรับใช้ของเราด้วย”
สัจจะความจริงในข้อที่ 12
กล่าวถึงศิษยาภิบาลและผู้นำทำการบ่มเพาะ
เสริมสร้าง และฝึกฝนธรรมิกชน
(ประชากรของพระเจ้า”ให้เป็นคนรับใช้ในพันธกิจ
หรือที่อมตธรรมแลว่า “พันธกิจการรับใช้”
ซึ่งแปลมาจากภาษากรีกคำว่า “ไดอาโคเนีย” (คำว่า diakonia แปลว่า
“พันธกิจ” หรือ “งานบริการรับใช้” ก็ได้)
ภาพรวมของข้อ 12
คือภาพของศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรได้ร่วมกันเสริมสร้าง และ
ฝึกฝนให้สมาชิกแต่ละคนรับใช้ในงานของพระเจ้าด้วยกัน
และในท้ายข้อที่ 12 และ ข้อที่ 13
ได้ขยายความต่อไปว่า “12...(เพื่อ)เสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ 13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” จากการเสริมสร้างและฝึกฝนสมาชิกคริสตจักรให้เป็นคนรับใช้ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิตของคริสตจักร
น่าสังเกตว่าทำให้ชีวิตคริสตจักรมีเอกภาพหรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทำให้พระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรเติบโตขึ้น
แต่ในที่นี้ไม่ได้เน้นเฉพาะว่ามีสมาชิกมากขึ้น หรือเป็นคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้น แต่เน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมิใช่ภาพภายนอกเท่านั้น
แต่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับลึกของชีวิตคือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ
และรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า นั่นหมายความว่า สมาชิกในคริสตจักรเกิดเอกภาพที่มีชีวิตเติบโตเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน ดังนั้น
การเติบโตขึ้นในพระธรรมตอนนี้เป็นการเน้นย้ำถึงการเติบโตขึ้นด้านคุณภาพชีวิตเหมือนพระคริสต์มากกว่าการเน้นที่ขนาดคริสตจักรหรือจำนวนสมาชิก
แน่นอนครับ เราแต่ละคนเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์
แต่ละคนมีงานรับใช้พระองค์ที่แตกต่างกันไป มีสถานที่รับใช้ที่แตกต่างกันไป
และเราต่างมีโอกาสในการรับใช้พระคริสต์ในสังคมชุมชนโลกนี้
แต่ถ้าเราแต่ละคนมีมุมมองว่างานรับใช้พระคริสต์ที่เราทำอยู่นั้นแยกออกต่างหากจากคนอื่นๆ
ในคริสตจักร เมื่อนั้น ได้กระทำการรับใช้ที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สวนทางกับพระธรรมตอนนี้
เพราะในพระธรรมตอนนี้ได้ให้สัจจะความจริงแก่เราว่า งานรับใช้ที่เราแต่ละคนกระทำนั้นเป็นการกระทำ
“ในพระนามของพระคริสต์” และกระทำร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ
ยิ่งกว่านั้นเป็นการกระทำงานรับใช้ที่ประสาน หนุนเสริม
ที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นๆ ในคริสตจักร
โดยพระธรรมตอนนี้ได้ให้ภาพการทำงานที่แต่ละคนเป็นอวัยวะต่างๆ ในพระกายของพระคริสต์ที่ทำงานรับใช้ที่สอดประสานกัน
และที่สำคัญต้องทำให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะ
บ่อยครั้งที่เราพบว่า
สมาชิกคริสตจักรบางคนทำงานรับใช้พระคริสต์เฉพาะกลุ่มของตนเอง (คริสตจักรไม่รู้ สมาชิกคนอื่นไม่เกี่ยว)
เป็นการทำการรับใช้พระคริสต์ที่แยกตัวจากผู้เชื่อคนอื่นๆ ในคริสตจักร
นอกจากเป็นการทำงานรับใช้พระคริสต์ที่สวนสัจจะความจริงของพระคัมภีร์แล้ว
เรามักพบว่างานรับใช้ประเภทนี้มักประสบความล้มเหลวในที่สุด (เพราะบางกรณีใช้การทำงานรับใช้พระคริสต์ในการสร้างฐานอำนาจในคริสตจักร หรือเป็นการสร้างอนุสาวรีย์สำหรับตนเอง และที่พบบ่อยเช่นกันคือความไม่โปร่งใสในการใช้เงินงบประมาณ)
ขอเน้นย้ำในที่นี้ว่า
ถ้าเราพยายามที่จะแยกงานรับใช้พระคริสต์มาทำต่างหากสำหรับตนเองและพรรคพวกเท่านั้นงานนั้นจะไม่เสริมสร้างเอกภาพ
หรือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และ เสริมสร้างการเติบโตและความเข้มแข็งของคริสตจักร
แต่ถ้าเราทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ร่วมกันในพระนามของพระคริสต์ ประสานเสริมหนุนกันและกัน และสอดคล้องตามพระประสงค์ของพระคริสต์แล้ว งานรับใช้นั้นจะเกิดผล เพราะมิใช่เราและสมาชิกคนอื่นๆ ในคริสตจักรกระทำงานรับใช้ร่วมกันเท่านั้น แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนพันธกิจการรับใช้ของเราในคริสตจักร ในการรับใช้คริสตจักรและชุมชน และในการอภิบาลสังคมในพระนามของพระคริสต์
ที่สำคัญคือ
เราผู้เป็นสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนต้องตระหนักว่า
“งานรับใช้ของท่านเป็นส่วนหนึ่งในงานรับใช้ของเรา” ในคริสตจักร
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ส่วนใหญ่สมาชิกในคริสตจักรของท่านที่ทำงานรับใช้พระคริสต์จะทำเป็นการส่วนตัว
หรือ เป็นการทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ร่วมกับสมาชิกอื่นๆ ในคริสตจักร? ขอยกตัวอย่าง
2. ท่านคิดเห็นอย่างไรต่อสัจจะความจริงจากพระธรรมตอนนี้ที่ว่า การทำพันธกิจรับใช้พระคริสต์ของคริสตจักร ควรเป็นการกระทำที่ร่วมไม้ร่วมมือ หนุนเสริม
และสอดประสานกันทั้งคริสตจักร?
ท่านคิดว่าเป็นสัจจะความจริงที่กระทำได้หรือไม่ได้ในคริสตจักรของท่าน? ทำไม?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น