04 พฤศจิกายน 2556

การสร้างคนรับใช้: งานหนึ่งในการอภิบาลชีวิตสมาชิกคริสตจักร

พระเยซูคริสต์มิได้เรียกสาวกให้มาเป็นพรรคพวกและติดตามพระองค์เท่านั้น   แต่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาเพื่อที่จะทรงสร้างพวกเขาให้เป็นคนรับใช้แห่งแผ่นดินของพระเจ้า   อย่างที่พระองค์มาในโลกนี้เพื่อที่จะรับใช้ผู้คนที่พบเห็น   ดังนั้น พระองค์จึงมิได้เพียงเรียกพวกเขาเพื่อจะสอนพวกเขาให้รู้ เข้าใจ และเชื่อวางใจในพระองค์เท่านั้น   แต่พระองค์ต้องการที่จะสร้างพวกเขาให้รับช่วงพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าต่อจากพระองค์

เปาโลได้เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างคนที่เชื่อให้เป็นคนที่รับใช้  ท่านได้เขียนไว้ในพระธรรมเอเฟซัสตอนหนึ่งว่า...

พระองค์เองทรงให้บางคนเป็นอัครทูต  
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ  
บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ  
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์  

เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าสำหรับงานรับใช้  
เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น  
จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ 
และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า  
จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่  คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:11-13  อมตธรรม)

งานของศิษยาภิบาลมิได้จำกัดอยู่แค่การประกาศพระกิตติคุณ  การสอนให้คนเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น   กล่าวคือมิได้มีบทบาทเพียงแค่การช่วยให้ผู้คนรู้เรื่องพระเยซูคริสต์และรับเชื่อในพระองค์เท่านั้น   นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น   ในเวลาเดียวกันศิษยาภิบาลก็มิใช่มีเพียงหน้าที่เผยพระวจนะ เทศนา สอนพระคัมภีร์ ให้สมาชิกมีความรู้และดำเนินชีวิตตามคำสอนในพระคัมภีร์เท่านั้น   และงานใหญ่ของศิษยาภิบาลมิใช่เพียงการเตรียมและจัดการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์อย่างดี  เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมนมัสการซาบซึ้ง และ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจในชีวิตที่ได้เข้าร่วมในการนมัสการนั้น

เปาโลได้ชี้ชัดในพระธรรมตอนนี้ถึงบทบาทสำคัญของศิษยาภิบาลคือ การเสริมสร้างสมาชิก หรือ ประชากรของพระเจ้าให้เป็นคนทำงานรับใช้พระเจ้าท่ามกลางประชาชนในสังคม   และโดยการทำงานรับใช้ดังกล่าวก่อเกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดาสมาชิกในคริสตจักร   ในเวลาเดียวกันได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นจากการทำงานรับใช้   และมีชีวิตที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน

แน่นอนครับ  งานการเสริมสร้างสมาชิกให้เป็นคนรับใช้ย่อมเป็นงานหนักกว่า การประกาศ และ สอนคนให้เชื่อศรัทธา   เป็นงานที่หนักกว่าการเตรียมและจัดการนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์   หนักกว่าการประกอบศาสนพิธีอย่างซาบซึ้ง   เพราะนี่เป็นการสร้างคนครับ  และที่หนักหนาคือเป็นการสร้างคนๆ นั้นให้มีจิตใจ และ ทักษะความสามารถในการรับใช้พระเจ้าผ่านการรับใช้ผู้คนรอบข้างที่พบเห็น   ในการเสริมสร้างคนเพื่อการรับใช้ดังกล่าวมีประเด็นที่จะต้องเสริมสร้างหลักๆ ดังนี้

1. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องหนุนเสริมผู้เชื่อคนๆ นั้นในการค้นหาของประทานจากพระเจ้า หรือ ศักยภาพ ความสามารถพิเศษที่มีในตัวของเขา

2. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องกระตุ้นหนุนเสริมเขาในการฟังเสียงแห่งการทรงเรียกในชีวิตของเขา

3. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องเอาใจใส่และเสริมสร้างเขาให้เป็นผู้ที่มีทักษะในการสื่อสาร  ในการรับรู้  และการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง

4. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องพัฒนาจุดแข็งที่มีในตัวเขา เพื่อใช้ในงานรับใช้ได้อย่างเกิดผล   และพัฒนาจุดอ่อนให้เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ในการรับใช้

5. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องให้ “ตนเอง” แก่คนที่ตนสร้าง (เช่น เวลา  ลงแรงลงพลัง  ความมุ่งมั่นตั้งใจ)

6. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องหนุนนำให้เขาสำนึกว่างานพันธกิจที่เขารับใช้เป็นพันธกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมาย   และเป็นการร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในโลกนี้

7. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องเป็นแหล่งทรัพยากรหนุนเสริมการทำพันธกิจ (ทั้งด้านบรรยากาศ  การฝึกอบรม  การสนับสนุน  เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็น)

8. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องช่วยให้คนที่ตนสร้างมีความคาดหวังที่ชัดเจนในพันธกิจที่ตนรับใช้

9. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องช่วยปลดปล่อยภาระอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น   เพื่อเขาจะมีเวลา พลัง และชีวิตที่จะทุ่มเทกับงานรับใช้ที่ได้รับมอบหมาย

10. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องมีเวลาที่จะถอดบทเรียนจากประสบการณ์การรับใช้ของแต่ละคน   เพื่อเขาจะได้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทรงทำงานในงานที่เขารับใช้   อีกทั้งเกิดการเรียนรู้ และพบจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข  จุดเด่นที่สามารถพัฒนาให้เกิดผลยิ่งขึ้น  และเป็นเวลาขอบพระคุณพระเจ้าในการเติบโตขึ้นในการรับใช้

11. ศิษยาภิบาลและผู้นำจะต้องชื่นชมในการรับใช้ของผู้ที่ตนเสริมสร้าง   ทั้งการชื่นชมส่วนตัว  และการชื่นชมให้ผู้คนในคริสตจักรได้รับรู้และร่วมความยินดี

12. ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะต้องกระตุ้นหนุนเสริมผู้ที่ตนสร้างให้ออกไปช่วยเหลือผู้ที่ทำงานรับใช้คนอื่นๆ  และสร้างเพื่อนสมาชิกให้เป็นคนรับใช้

นี่เป็นงานหนักของ “ศิษยาภิบาล” และ “ผู้นำคริสตจักร”   ที่จะต้องเสริมสร้างสมาชิกคริสตจักรให้รับใช้และอภิบาลกันและกันในชุมชนคริสตจักร   และที่จะเข้าไปในสังคมชุมชน  ในที่ทำงาน  ในกลุ่มเพื่อนฝูง  และในครอบครัว เพื่อที่จะอภิบาลชีวิตผู้คนเหล่านั้นที่ตนเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ และพบเห็น

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น