ความเข้มแข็งทางใจมีความสัมพันธ์อย่างมากกับภาวะผู้นำคริสตชนในแต่ละตัวคน
เมื่อคนใดคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ร้าย
ๆ ต้องพบกับวิกฤติ
และต้องหาทางออกจากภัยสุ่มเสี่ยงเลวร้ายเหล่านั้น เขาต้องกระทำโดยการร่วมมือกับพระเจ้าและคนอื่น
ๆ ด้วยการบริหารจัดการตนเอง ด้วยการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติแวดล้อม
การจัดการตนเองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
และน่าสนใจว่าคริสตชนคนนั้นจะจัดการตนเองในส่วนของการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างไร
คริสตชนจะเสริมสร้างความเข้มเข็งทางใจได้อย่างไร?
ประการแรก
ปัจจุบันเราได้รับการสอนว่า
ความเข้มแข็งทางใจจะเกิดขึ้นได้ผู้นั้นจะต้องมีทักษะในการคิด และเป็นการคิดที่ได้รับการบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งการ
“มองสิ่งต่าง ๆ บนความเป็นจริงในแง่ดี(แง่บวก)”
แต่ถ้าตามมุมมองของคริสตชนแล้ว เป็นการบ่มเพาะให้คิดที่ “เชื่อและมั่นใจในพระเจ้า” และมี “ความหวัง”
ในพระองค์มากกว่าการมองบนความเป็นจริงในแง่ดีหรือแง่บวกเท่านั้น
แต่เมื่อใช้มุมมองแบบคริสตชน
คริสตชนส่วนใหญ่มักมีแนวโน้มที่จะมองว่า
เมื่อชีวิตต้องพบกับความเครียด
ความกดดัน
หรือความล้มเหลวถดถอยในงานที่ทำและรับผิดชอบ เรามักคาดคิดหรือรู้สึกว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีโดยอัตโนมัติ
แต่ในความเป็นจริงแล้วบ่อยครั้งที่ไม่ได้เป็นไปด้วยดีอย่างอัตโนมัติ บางครั้งแย่ลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในมุมมองคริสตชนที่มีความเชื่อศรัทธา เรามีทั้งความมั่นใจในพระเจ้า
และการเดินเคียงข้างไปกับพระเจ้านั้นแตกต่างจากการเพียงพึ่งพาความมั่นใจในตนเองและการมีมุมมองบนความเป็นจริงในแง่ดี
และมุมมองความเชื่อว่าทุกอย่างจะไปด้วยดีโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง “การมองบนความเป็นจริง”
กับ “ความหวัง” แบบคริสตชน
ความมั่นใจของคริสตชนมิได้ยืนอยู่บนรากฐานการเป็นไปได้เองอย่างอัตโนมัติ
แต่ความมั่นใจของคริสตชนวางอยู่บนรากฐานแห่งพระสัญญาของพระเจ้าและการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ดังนั้น
การสร้างความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนจึงมิใช่การมองสิ่งต่าง ๆ
บนฐานของความเป็นจริงในแง่ดี แต่ความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนตั้งอยู่บนรากฐานความมั่นใจแห่ง
“ความเชื่อศรัทธา
ประสบการณ์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วในชีวิตจริง”
นอกจากที่จะต้องมีทักษะในการคิดแล้ว ยังต้องมีทักษะในการตระหนักชัดใน “พลังชีวิต” และทักษะที่รู้แน่ชัดในสิ่งที่ตนต้องกระทำ
ประการที่สอง
ทักษะในการตระหนักชัดถึงพลังชีวิต
ในที่นี้หมายถึงการที่ผู้นำคนนั้นรู้แน่ชัดว่า แต่ละวัน “พลังชีวิต” ของเราไหลออกจากตัวเราไปทางใดบ้าง (ถูกใช้ไปในทางใดบ้าง) และเรามีทางที่จะเสริมเพิ่มเติมเต็ม “พลัง” แก่ชีวิตของเราในแต่ละวันได้อย่างไร หรือในแต่ละวัน “พลังชีวิต”
ของเรามีแต่จะไหลรั่วออกจากชีวิตของเราเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น
ชีวิตของเราก็เป็นเหมือนเทียนไขที่เราจุดไฟทั้งสองด้าน ที่มีแต่การไหลออกของ “พลังชีวิต” จึงรู้สึกในแต่ละวันว่า เหนื่อยล้าหมดแรงทั้งกาย และ จิตใจห่อเหี่ยวเพลียแรง อารมณ์ถดถอยสิ้นกำลัง มีแต่สร้างความอ่อนใจชีวิตเปราะบาง ชีวิตรู้สึกซับซ้อนและสับสน ชีวิตตีบตันหาทางออกไม่ได้
การพัฒนาทักษะในการตระหนักชัดถึงพลังชีวิตคือการรู้เท่าทันถึงพลังที่ใช้ไปในแต่ละวันของตน
ยิ่งกว่านั้นยังตระหนักรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องเติมเต็มพลังชีวิต
และยังรู้ด้วยว่ามีแหล่งพลังชีวิตอยู่ที่ไหนที่จะนำมาเติมเต็มได้
“พี่ พี่ ปั๊มเติม “พลังชีวิต” อยู่แถวไหนครับ?”
ประการที่สาม ทักษะความตระหนักชัดในสิ่งที่เราต้องกระทำ
และเป็นการหนุนเสริมเพิ่มพลังในสิ่งที่เราจะต้องกระทำ
เป็นความตระหนักชัดที่หนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เราให้รู้ชัดว่า มีอะไรบ้างที่เราจำเป็นจะต้องทำในวันนี้ เกิดกำลังใจกำลังกายที่จะต้องกระทำ และลงมือทำ
ความสามารถที่จะลงมือทำเป็นพลังที่ทำให้งานขับเคลื่อนไป และมันยังเป็นพลังที่สร้างความรู้สึกที่ดี
ที่เป็นพลวัตรเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนงานของเรามากยิ่ง ๆ ขึ้น
“ใช่เลยพี่
การเริ่มก้าวแรกในสิ่งที่รู้ว่าต้องทำต้องการพลังมหาศาลครับ”
ตัวอย่างชีวิตจากพระคัมภีร์
ดังตัวอย่างชีวิตของโยเซฟบุตรยาโคบ แม้เขาจะถูกพี่ชายขายให้พ่อค้า
และถูกนำตัวไปขายอีกทอดหนึ่งแก่นายทหารที่อียิปต์ ตลอดชีวิตของโยเซฟต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ
ที่ส่วนใหญ่เลวร้ายและทุกข์ยาก
แต่ในทุกสถานการณ์
ในความคิดของโยเซฟคือ
พระเจ้าทรงสถิตอยู่เคียงข้างด้วยในทุกสถานการณ์ชีวิต ไม่ว่าจะในบ้านของโปทิฟาร์ ในคุกปฐมกาล
39:21 บอกกับเราว่า “แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ
ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน”
เมื่อทำนายความฝันแก่ฟาโรห์ โยเซฟบอกความจริงแก่ฟาโรห์ว่า “ไม่ใช่ข้าพระบาท
พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันควรแก่ฟาโรห์”(ปฐมกาล 41:16
มตฐ.)
นอกจากที่โยเซฟจะมั่นใจในพระเจ้าและการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์แล้ว
ชีวิตของโยเซฟยังสำแดงออกชัดถึงการสถิตด้วยของพระเจ้า ดังที่ฟาโรห์กล่าวว่า “39 (ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า)“เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องทั้งสิ้นนี้แก่เจ้า
จึงไม่มีใครที่มีความเข้าใจและมีปัญญาเหมือนเจ้า...” (ปฐมกาล
41:39 มตฐ.)
เมื่อโยเซฟพบกับบรรดาพี่ชาย ท่านได้ยืนยันความคิด ความเชื่อ
และการสถิตด้วยของพระเจ้า
ยิ่งกว่านั้นท่านชัดเจนว่า
ในทุกสถานการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเป็นแผนการณ์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่านทั้งสิ้น “แต่เดี๋ยวนี้อย่าเสียใจไปเลย
อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่
เพื่อจะได้ช่วยชีวิต...ฉะนั้น ไม่ใช่พี่เป็นผู้ให้ฉันมาที่นี่
แต่พระเจ้าทรงให้มา...” (ปฐมกาล 45:5-8 มตฐ.) คริสตชนต้องมองเห็นถึงแผนการของพระเจ้าในชีวิตของตน
และไม่ว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือดีเด่นเช่นไรไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือโยเซฟเชื่อมั่นในแผนการณ์ชีวิตที่พระเจ้าทรงนำและเคียงข้างอยู่ด้วย
สิ่งสำคัญประการต่อมา
ไม่ว่าชีวิตของโยเซฟต้องตกลงในสถานการณ์เช่นไร ท่านทำงานและใช้ชีวิตของท่านอย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และเป็นที่พึ่งพาของคนที่เขาทำงานด้วย เมื่อถูกขายให้เป็นทาสในบ้านโปทิฟาร์ ท่านทำงานอย่างเต็มกำลังด้วยความรับผิดชอบ
เพราะสำนึกว่าพระเจ้าทรงนำท่านและสถิตด้วยกับท่าน “พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ
ท่านจึงประสบความสำเร็จ ท่านอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของท่าน
นายของท่านก็เห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน
และพระยาห์เวห์ทรงให้การงานทุกอย่างที่มือท่านทำสำเร็จ” (ปฐมกาล
39:2-3 มตฐ.) และเมื่อท่านต้องโทษในคุกหลวงใต้ดิน ท่านไม่ได้ซึมเศร้าเสียใจ แต่ท่านกลับทำงานรับผิดชอบในคุกอย่างเต็มกำลังจนเกิดผล “แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ
ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน และทรงให้พัศดีโปรดปรานท่าน
พัศดีก็มอบนักโทษทั้งหมดในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ
การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้ทำ
พัศดีไม่ต้องดูการงานทุกอย่างที่โยเซฟดูแล เพราะพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน
และพระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้สิ่งที่ท่านทำนั้นสำเร็จ” (ปฐมกาล
39:21-23 มตฐ.) เพราะการที่โยเซฟมีทักษะตระหนักชัดว่า
ตนต้องทำอะไรในแต่ละสถานการณ์นี้เอง
ที่เป็นพลังชีวิตที่หนุนเสริมให้ชีวิตของท่านก้าวไปจนในที่สุดได้เป็นมหาอุปราชของอียิปต์
ประการแรก
เราได้เห็นว่า แม้ชีวิตของโยเซฟจะตกลงในสภาพเช่นใด สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือ “ความเข้มแข็งทางใจ”
ของท่าน
ไม่ว่าจะถูกพี่ชายขาย
ถูกนายหญิงกล่าวโทษใส่ร้าย
ถูกเพื่อนนักโทษลืม
แต่สถานการณ์เหล่านี้ไม่มีอิทธิพลที่จะครอบงำให้โยเซฟต้องตกเป็นเหยื่อ ทั้งนี้เพราะท่านมีความคิดที่ชัดเจนและความเชื่อที่มั่นคงในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า และเชื่อในแผนการของพระเจ้าในชีวิตของท่าน
ดังนั้น ในทุกสถานการณ์ชีวิตท่านแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่ชัดเจน
ประการที่สองเราสังเกตเห็นชัดว่า ท่านรู้ว่าพลังชีวิตของท่านมาจากพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ความรอบรู้
ความสำเร็จ
ท่านบริหารจัดการด้วยความรับผิดชอบและสัตย์ซื่อ ท่านรู้ว่าแหล่งพลังชีวิตที่เติมเต็มในชีวิตแต่ละวันและแต่ละสถานการณ์มาจากพระเจ้า
และท่านรู้ว่าท่านจะใช้พลังชีวิตในแต่ละวันในเรื่องอะไร และไม่ควรใช้ในเรื่องอะไร เช่นในกรณีที่ท่านปฏิเสธที่จะมีชู้กับนายหญิง
ท่านไม่ต้องการเสียพลังชีวิตกระทำในสิ่งที่ผิด และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ แม้ท่านจะสัตย์ซื่อทำงานสิ่งที่ถูกต้อง
แต่กลับกลายเป็นผลร้ายที่มาทิ่มแทงชีวิตของท่าน
ท่านกลับไม่ยอมเสียพลังชีวิตให้กับความเสียใจ ท้อแท้
สิ้นหวัง
แต่กลับยืนหยัดทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นที่พึ่งต่อผู้คนในสถานการณ์ใหม่นั้น
ประการที่สาม ในทุกขั้นตอนและทุกสถานการณ์ชีวิตของโยเซฟ ท่านตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ
ภายใต้การทรงนำและรับพลังจากพระเจ้าที่ทรงเคียงข้างท่าน สถานการณ์เลวร้ายในชีวิตไม่ได้ทำให้โยเซฟซึมเศร้า ซ่อนตัวในมุมมืด มีชีวิตที่ถดถอยไม่ทำอะไร หรือทำอะไรไม่ได้ แต่ลักษณะที่สำคัญคือ
ในทุกสถานการณ์ชีวิตท่านรู้ชัดว่าท่านจะต้องทำอะไร แล้วท่านลงมือทำ
และนี่คือพลังชีวิตที่ขับเคลือนชีวิตของท่านก้าวไปตามแผนการของพระเจ้า และนี่คือภาวะผู้นำในทุกสถานการณ์ชีวิต แม้ไม่มีตำแหน่งผู้นำก็ตาม
แต่ท่านกลับเป็นที่พึ่งพาของผู้คนตั้งแต่นักโทษในคุกจวบจนฟาโรห์ผู้ครอบครองประเทศอียิปต์
นี่คือความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนที่มีได้ในชีวิตท่านครับ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น