04 สิงหาคม 2557

ความเข้มแข็งทางใจของคริสตชน

ความเข้มแข็งทางใจมีความสัมพันธ์อย่างมากกับภาวะผู้นำคริสตชนในแต่ละตัวคน

เมื่อคนใดคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ร้าย ๆ ต้องพบกับวิกฤติ   และต้องหาทางออกจากภัยสุ่มเสี่ยงเลวร้ายเหล่านั้น   เขาต้องกระทำโดยการร่วมมือกับพระเจ้าและคนอื่น ๆ ด้วยการบริหารจัดการตนเอง ด้วยการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติแวดล้อม การจัดการตนเองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก และน่าสนใจว่าคริสตชนคนนั้นจะจัดการตนเองในส่วนของการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างไร

คริสตชนจะเสริมสร้างความเข้มเข็งทางใจได้อย่างไร?

ประการแรก ปัจจุบันเราได้รับการสอนว่า ความเข้มแข็งทางใจจะเกิดขึ้นได้ผู้นั้นจะต้องมีทักษะในการคิด   และเป็นการคิดที่ได้รับการบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งการ มองสิ่งต่าง ๆ บนความเป็นจริงในแง่ดี(แง่บวก)”  
แต่ถ้าตามมุมมองของคริสตชนแล้ว  เป็นการบ่มเพาะให้คิดที่  เชื่อและมั่นใจในพระเจ้า”  และมี ความหวังในพระองค์มากกว่าการมองบนความเป็นจริงในแง่ดีหรือแง่บวกเท่านั้น

แต่เมื่อใช้มุมมองแบบคริสตชน คริสตชนส่วนใหญ่มักมีแนวโน้มที่จะมองว่า   เมื่อชีวิตต้องพบกับความเครียด  ความกดดัน  หรือความล้มเหลวถดถอยในงานที่ทำและรับผิดชอบ   เรามักคาดคิดหรือรู้สึกว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีโดยอัตโนมัติ   แต่ในความเป็นจริงแล้วบ่อยครั้งที่ไม่ได้เป็นไปด้วยดีอย่างอัตโนมัติ   บางครั้งแย่ลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ในมุมมองคริสตชนที่มีความเชื่อศรัทธา   เรามีทั้งความมั่นใจในพระเจ้า และการเดินเคียงข้างไปกับพระเจ้านั้นแตกต่างจากการเพียงพึ่งพาความมั่นใจในตนเองและการมีมุมมองบนความเป็นจริงในแง่ดี และมุมมองความเชื่อว่าทุกอย่างจะไปด้วยดีโดยอัตโนมัติ   ซึ่งมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง การมองบนความเป็นจริงกับ ความหวังแบบคริสตชน

ความมั่นใจของคริสตชนมิได้ยืนอยู่บนรากฐานการเป็นไปได้เองอย่างอัตโนมัติ   แต่ความมั่นใจของคริสตชนวางอยู่บนรากฐานแห่งพระสัญญาของพระเจ้าและการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์   ดังนั้น  การสร้างความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนจึงมิใช่การมองสิ่งต่าง ๆ บนฐานของความเป็นจริงในแง่ดี   แต่ความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนตั้งอยู่บนรากฐานความมั่นใจแห่ง ความเชื่อศรัทธา  ประสบการณ์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วในชีวิตจริง

นอกจากที่จะต้องมีทักษะในการคิดแล้ว   ยังต้องมีทักษะในการตระหนักชัดใน พลังชีวิต”   และทักษะที่รู้แน่ชัดในสิ่งที่ตนต้องกระทำ

ประการที่สอง ทักษะในการตระหนักชัดถึงพลังชีวิต   ในที่นี้หมายถึงการที่ผู้นำคนนั้นรู้แน่ชัดว่า  แต่ละวัน พลังชีวิตของเราไหลออกจากตัวเราไปทางใดบ้าง (ถูกใช้ไปในทางใดบ้าง)  และเรามีทางที่จะเสริมเพิ่มเติมเต็ม พลังแก่ชีวิตของเราในแต่ละวันได้อย่างไร   หรือในแต่ละวัน พลังชีวิตของเรามีแต่จะไหลรั่วออกจากชีวิตของเราเท่านั้น   ถ้าเช่นนั้น ชีวิตของเราก็เป็นเหมือนเทียนไขที่เราจุดไฟทั้งสองด้าน   ที่มีแต่การไหลออกของ พลังชีวิต”   จึงรู้สึกในแต่ละวันว่า   เหนื่อยล้าหมดแรงทั้งกาย  และ จิตใจห่อเหี่ยวเพลียแรง   อารมณ์ถดถอยสิ้นกำลัง   มีแต่สร้างความอ่อนใจชีวิตเปราะบาง   ชีวิตรู้สึกซับซ้อนและสับสน   ชีวิตตีบตันหาทางออกไม่ได้

การพัฒนาทักษะในการตระหนักชัดถึงพลังชีวิตคือการรู้เท่าทันถึงพลังที่ใช้ไปในแต่ละวันของตน  ยิ่งกว่านั้นยังตระหนักรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องเติมเต็มพลังชีวิต   และยังรู้ด้วยว่ามีแหล่งพลังชีวิตอยู่ที่ไหนที่จะนำมาเติมเต็มได้

พี่ พี่ ปั๊มเติม พลังชีวิตอยู่แถวไหนครับ?”

ประการที่สาม ทักษะความตระหนักชัดในสิ่งที่เราต้องกระทำ   และเป็นการหนุนเสริมเพิ่มพลังในสิ่งที่เราจะต้องกระทำ   เป็นความตระหนักชัดที่หนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เราให้รู้ชัดว่า  มีอะไรบ้างที่เราจำเป็นจะต้องทำในวันนี้   เกิดกำลังใจกำลังกายที่จะต้องกระทำ   และลงมือทำ   ความสามารถที่จะลงมือทำเป็นพลังที่ทำให้งานขับเคลื่อนไป  และมันยังเป็นพลังที่สร้างความรู้สึกที่ดี   ที่เป็นพลวัตรเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนงานของเรามากยิ่ง ๆ ขึ้น

ใช่เลยพี่   การเริ่มก้าวแรกในสิ่งที่รู้ว่าต้องทำต้องการพลังมหาศาลครับ

ตัวอย่างชีวิตจากพระคัมภีร์

ดังตัวอย่างชีวิตของโยเซฟบุตรยาโคบ  แม้เขาจะถูกพี่ชายขายให้พ่อค้า  และถูกนำตัวไปขายอีกทอดหนึ่งแก่นายทหารที่อียิปต์   ตลอดชีวิตของโยเซฟต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่เลวร้ายและทุกข์ยาก   แต่ในทุกสถานการณ์   ในความคิดของโยเซฟคือ  พระเจ้าทรงสถิตอยู่เคียงข้างด้วยในทุกสถานการณ์ชีวิต   ไม่ว่าจะในบ้านของโปทิฟาร์ ในคุกปฐมกาล 39:21  บอกกับเราว่า แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน

เมื่อทำนายความฝันแก่ฟาโรห์   โยเซฟบอกความจริงแก่ฟาโรห์ว่า  ไม่ใช่ข้าพระบาท พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันควรแก่ฟาโรห์”(ปฐมกาล 41:16 มตฐ.)   นอกจากที่โยเซฟจะมั่นใจในพระเจ้าและการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์แล้ว   ชีวิตของโยเซฟยังสำแดงออกชัดถึงการสถิตด้วยของพระเจ้า   ดังที่ฟาโรห์กล่าวว่า  39 (ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า)เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องทั้งสิ้นนี้แก่เจ้า จึงไม่มีใครที่มีความเข้าใจและมีปัญญาเหมือนเจ้า...” (ปฐมกาล 41:39 มตฐ.)

เมื่อโยเซฟพบกับบรรดาพี่ชาย   ท่านได้ยืนยันความคิด ความเชื่อ และการสถิตด้วยของพระเจ้า   ยิ่งกว่านั้นท่านชัดเจนว่า   ในทุกสถานการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเป็นแผนการณ์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่านทั้งสิ้น   แต่เดี๋ยวนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต...ฉะนั้น ไม่ใช่พี่เป็นผู้ให้ฉันมาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา...” (ปฐมกาล 45:5-8 มตฐ.)  คริสตชนต้องมองเห็นถึงแผนการของพระเจ้าในชีวิตของตน   และไม่ว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือดีเด่นเช่นไรไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ   สิ่งที่สำคัญคือโยเซฟเชื่อมั่นในแผนการณ์ชีวิตที่พระเจ้าทรงนำและเคียงข้างอยู่ด้วย

สิ่งสำคัญประการต่อมา   ไม่ว่าชีวิตของโยเซฟต้องตกลงในสถานการณ์เช่นไร   ท่านทำงานและใช้ชีวิตของท่านอย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า   และเป็นที่พึ่งพาของคนที่เขาทำงานด้วย   เมื่อถูกขายให้เป็นทาสในบ้านโปทิฟาร์   ท่านทำงานอย่างเต็มกำลังด้วยความรับผิดชอบ   เพราะสำนึกว่าพระเจ้าทรงนำท่านและสถิตด้วยกับท่าน  พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ท่านจึงประสบความสำเร็จ ท่านอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของท่าน นายของท่านก็เห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน และพระยาห์เวห์ทรงให้การงานทุกอย่างที่มือท่านทำสำเร็จ” (ปฐมกาล 39:2-3 มตฐ.)   และเมื่อท่านต้องโทษในคุกหลวงใต้ดิน   ท่านไม่ได้ซึมเศร้าเสียใจ   แต่ท่านกลับทำงานรับผิดชอบในคุกอย่างเต็มกำลังจนเกิดผล  แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน และทรงให้พัศดีโปรดปรานท่าน พัศดีก็มอบนักโทษทั้งหมดในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้ทำ พัศดีไม่ต้องดูการงานทุกอย่างที่โยเซฟดูแล เพราะพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน และพระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้สิ่งที่ท่านทำนั้นสำเร็จ” (ปฐมกาล 39:21-23 มตฐ.) เพราะการที่โยเซฟมีทักษะตระหนักชัดว่า ตนต้องทำอะไรในแต่ละสถานการณ์นี้เอง ที่เป็นพลังชีวิตที่หนุนเสริมให้ชีวิตของท่านก้าวไปจนในที่สุดได้เป็นมหาอุปราชของอียิปต์

ประการแรก เราได้เห็นว่า แม้ชีวิตของโยเซฟจะตกลงในสภาพเช่นใด   สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือ ความเข้มแข็งทางใจของท่าน   ไม่ว่าจะถูกพี่ชายขาย   ถูกนายหญิงกล่าวโทษใส่ร้าย   ถูกเพื่อนนักโทษลืม  แต่สถานการณ์เหล่านี้ไม่มีอิทธิพลที่จะครอบงำให้โยเซฟต้องตกเป็นเหยื่อ   ทั้งนี้เพราะท่านมีความคิดที่ชัดเจนและความเชื่อที่มั่นคงในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า   และเชื่อในแผนการของพระเจ้าในชีวิตของท่าน ดังนั้น ในทุกสถานการณ์ชีวิตท่านแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่ชัดเจน

ประการที่สองเราสังเกตเห็นชัดว่า   ท่านรู้ว่าพลังชีวิตของท่านมาจากพระเจ้า   ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา   ความรอบรู้  ความสำเร็จ  ท่านบริหารจัดการด้วยความรับผิดชอบและสัตย์ซื่อ   ท่านรู้ว่าแหล่งพลังชีวิตที่เติมเต็มในชีวิตแต่ละวันและแต่ละสถานการณ์มาจากพระเจ้า   และท่านรู้ว่าท่านจะใช้พลังชีวิตในแต่ละวันในเรื่องอะไร   และไม่ควรใช้ในเรื่องอะไร  เช่นในกรณีที่ท่านปฏิเสธที่จะมีชู้กับนายหญิง   ท่านไม่ต้องการเสียพลังชีวิตกระทำในสิ่งที่ผิด   และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ   แม้ท่านจะสัตย์ซื่อทำงานสิ่งที่ถูกต้อง   แต่กลับกลายเป็นผลร้ายที่มาทิ่มแทงชีวิตของท่าน   ท่านกลับไม่ยอมเสียพลังชีวิตให้กับความเสียใจ  ท้อแท้  สิ้นหวัง แต่กลับยืนหยัดทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นที่พึ่งต่อผู้คนในสถานการณ์ใหม่นั้น

ประการที่สาม  ในทุกขั้นตอนและทุกสถานการณ์ชีวิตของโยเซฟ   ท่านตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ภายใต้การทรงนำและรับพลังจากพระเจ้าที่ทรงเคียงข้างท่าน   สถานการณ์เลวร้ายในชีวิตไม่ได้ทำให้โยเซฟซึมเศร้า   ซ่อนตัวในมุมมืด  มีชีวิตที่ถดถอยไม่ทำอะไร   หรือทำอะไรไม่ได้    แต่ลักษณะที่สำคัญคือ   ในทุกสถานการณ์ชีวิตท่านรู้ชัดว่าท่านจะต้องทำอะไร   แล้วท่านลงมือทำ   และนี่คือพลังชีวิตที่ขับเคลือนชีวิตของท่านก้าวไปตามแผนการของพระเจ้า  และนี่คือภาวะผู้นำในทุกสถานการณ์ชีวิต   แม้ไม่มีตำแหน่งผู้นำก็ตาม   แต่ท่านกลับเป็นที่พึ่งพาของผู้คนตั้งแต่นักโทษในคุกจวบจนฟาโรห์ผู้ครอบครองประเทศอียิปต์

นี่คือความเข้มแข็งทางใจของคริสตชนที่มีได้ในชีวิตท่านครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น