24 สิงหาคม 2553

ยาแก้พิษโรคบ้างาน

อ่านสดุดีบทที่ 127:1-5

1ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน
บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า
ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร
คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า

ในปี 1971 นักศาสนศาสตร์และนักจิตวิทยาชื่อ Wayne E. Oates ได้เขียนหนังสือ “คำสารภาพของคนบ้างาน” (Confessions of a Workaholic) หลังจากนั้นคำว่า Workaholic ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย หลายต่อหลายคนต้องย้อนกลับมาถามตนเองว่า ฉันบ้างาน(Workaholic )หรือเปล่า เราทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำงานมากเกินไปหรือไม่ คนในยุคนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะกลายเป็นคนบ้างาน เพราะสำหรับบางคนเอาความบ้างานเป็นรูปแบบของการทุ่มเทในชีวิต หรือ กำหนดว่านี่คือเส้นทางที่จะนำไปถึงซึ่งความสำเร็จ ทั้งๆ ที่รู้อยู่กับใจว่า การทำงานแบบเป็นบ้าเป็นหลังเช่นนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อสุขภาพของตนเอง และ ชีวิตในครอบครัว

แม้ว่าพระธรรมสดุดีบทที่ 127 เขียนก่อนที่จะมีหนังสือ “คำสารภาพของคนบ้างาน” (Confessions of a Workaholic) เป็นพันปี ได้ให้ปัญญาและข้อคิดที่แหลมคมว่า “ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า” (ข้อ 1) การงานทั้งหลายที่เราอุตส่าห์สร้างอุตส่าห์ทำจะไม่เกิดค่าหรือเป็นประโยชน์อะไรเลยต่อชีวิต ถ้าสิ่งที่เราทำมิได้เป็นงานในแผนการหรืองานที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือค้ำจุน ผู้เขียนสดุดีบทนี้กล่าวต่อไปว่า “เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด นอนดึก และ กระหืดกระหอบกินอาหาร เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ให้หลับสบาย” (ข้อ 2) การท างานหามรุ่งหามค่ำ วิตกกังวลจนนอนหลับไม่สนิท อาจจะทำให้งานเสร็จสิ้น แต่งานนั้นมิได้สร้างคุณค่าความหมายและความสำคัญต่อชีวิต พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราทำงาน แต่เป็นการทำงานที่ให้คุณค่าและความหมายในชีวิตและการทำงานมีความสมดุลกับการที่ได้ผ่อนพักในพระเจ้า ที่สำคัญคือเป็นงานที่เราร่วมในพระราชกิจของพระองค์ด้วย

ในความเชื่อของคริสเตียน การที่เรามีอาชีพการงานใดๆ ในชีวิต เราเชื่อว่าเราทำเพราะเป็นการทรงเรียกจากพระเจ้า การทรงเรียกจึงมิได้จำกัดอยู่แค่การที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้ประกาศ อาจารย์สอนในพระคริสต์ธรรม หรือเป็นผู้ปกครองหรือมัคนายกคริสตจักรเท่านั้น ในพระธรรมสดุดีจึงมิได้หมายความว่าเราไม่ควรสร้างบ้านหรือเป็นยามเฝ้าดูแลความปลอดภัย ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่เราคิดทำงานด้วยกำลังความสามารถของเราเอง มิได้ทำภารกิจการงานด้วยความพึ่งพิงในการทรงนำ ในพระกำลัง และคำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในงานที่เรากระทำนั้น การทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของร่างกาย ไม่คำนึงถึงคุณค่าและความหมายในครอบครัว และที่สำคัญคือต้องตระหนักชัดเสมอถึงพระประสงค์ที่ต้องการให้มีความสมดุลในการทำงานกับการมีเวลาพักผ่อนอันเป็นของประทานจากพระเจ้า มุมมองการทำงานของคริสเตียนจึงควรเห็นชัดว่า งานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เรากำลังทำงานร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าที่มีพระประสงค์อะไร? แล้วเราจะเข้าไปมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะเช่นใดบ้าง? แล้วเราจะทำงานนั้นด้วยการร่วมไม้ร่วมมือกับพระองค์ได้อย่างไรบ้าง?

ถ้าเราทุ่มเทชีวิตของเราทำงานในพระราชกิจของพระเจ้าที่พระองค์กำลังกระทำอยู่ ความทุ่มเทและความพยายามของเราก็เกิดผล ยิ่งกว่านั้น เราพบกับชีวิตที่มีความสมดุลในการทำงานกับการพักผ่อน มีศานติ และความสัมพันธ์ ทั้งในตนเองและครอบครัว ก่อเกิดคุณค่าความหมายต่อชีวิต ในวันนี้ให้เราทำงานที่ร่วมในพระราชกิจของพระองค์ มอบถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่มีในชีวิตของเราในการทำงานของพระองค์ และสำหรับผลงานที่จะเกิดขึ้นนั้นให้เราไว้วางใจพระองค์ ให้เราใช้เวลาชีวิตและของประทานในชีวิตของเราในการทำงานของพระองค์เพื่อก่อเกิดสิ่งดี เกิดความสุขในครอบครัว ในสัมพันธภาพกับมิตรสหาย ในคำอธิษฐาน และในการผ่อนพักของเรา

เราต้องสารภาพว่า
บ่อยครั้งที่เราพยายามและทุ่มเทที่จะ “สร้างบ้าน” และ “เฝ้าดูความปลอดภัย” ด้วยความสามารถและพยายามของตนเอง
บ่อยครั้งที่เราลุกขึ้นทำงานแต่เช้ามืด นอนดึก และ กระหืดกระหอบกินอาหาร เป็นการทุ่มแรงออกกำลังที่เหนื่อยเปล่า

เราต้องสารภาพว่า
ในการทำงานใดๆ จะไม่พบกับคุณค่าและความหมายที่ยั่งยืนได้เลย ถ้าเราทำงานโดยลำพังที่ไม่ร่วมในพระราชกิจและรับกำลังจากพระองค์
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งการงาน
ทรงเป็นที่มาของสิ่งดีทั้งปวง

องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงให้ของประทานดีเลิศทุกอย่างแก่เรา
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้เราจาริกไปบนเส้นทางการทำงานร่วมกับพระองค์
ขอให้เราได้เห็นถึงการทรงทำงานของพระเจ้า และ ให้เรามีส่วนร่วมในการทำงานนั้น
ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว
โปรดทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านการทำงานของเราด้วยกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ให้เราไว้วางใจ และ เชื่อฟังพระองค์ เมื่อพระองค์ประสงค์ให้เราผ่อนพัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น