15 สิงหาคม 2553

ขอโทษ...ที่สำคัญผิด

อ่านลูกา 10:17-20

17สาวกเจ็ดสิบสองคนนั้นกลับมาด้วยความยินดีทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” 18พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเห็นซาตาน(ตก)จากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย 20แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์” (ฉบับ 2002)

ก่อนอื่นขอท่านโปรดสังเกตว่า ในพระคัมภีร์ของสมาคมฯ ฉบับ 1971 จะบอกว่ามีสาวก 70 คน แต่ในฉบับ 2002 บอกว่ามี 72 คน แต่ที่สำคัญกว่านี้คือ สาวกกลุ่มนี้มิใช่สาวกกลุ่ม 12 คนที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูคริสต์ หรือที่บางคนเรียกว่า “สาวกวงใน” คนเหล่านี้คือประชาชนคนสามัญธรรมดา ที่ติดตามฟังคำสอนของพระองค์และมีประสบการณ์ถึงฤทธิ์เดชที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำในพระราชกิจของพระองค์ แล้วติดตามพระองค์ค่อนข้างถี่จนพระเยซูทรงบ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขาให้เป็นสาวกของพระองค์ด้วย พระองค์ทรงส่งสาวกกลุ่มนี้ออกไปทำพันธกิจของพระองค์ในหมู่บ้านต่างๆ เป็นคู่ๆ และนี่ชี้ชัดว่า กำลังและฤทธานุภาพที่พระองค์ประทานให้ผู้คนนั้นมิใช่เฉพาะเจาะจงเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น แต่พระองค์ประทานแก่ผู้เต็มใจทำงานของพระองค์ตามที่พระองค์มอบหมาย

เมื่อสาวกรุ่นที่สองจำนวนเจ็ดสิบสองคนที่พระเยซูคริสต์ส่งออกไปเพื่อออกไปประกาศและทำพันธกิจที่พระองค์มอบหมายในหมู่บ้านต่างๆ ได้กลับมา และรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการทำพันธกิจในหมู่บ้านด้วยความตื่นเต้น เร้าใจ ชื่นชมยินดีอย่างมาก พวกเขารายงานให้พระเยซูคริสต์ฟังว่า พวกเขามีอำนาจเหนือพวกผีซาตาน วิญญาณชั่ว เพราะพวกเขามีอำนาจเหนือพวกมัน พวกเขาสามารถสั่งให้ผีทำตาม พวกมันต้องอยู่ใต้คำสั่งของพวกเขาที่สั่งในพระนามของพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์ทรงยืนยันว่า ประสบการณ์ที่พวกเขาพบและเข้าใจว่า พวกเขามีอำนาจเหนืออำนาจแห่งความชั่วร้ายนั้นเป็นความจริง และพระองค์ยังยืนยันมากกว่าประสบการณ์ของเหล่าสาวกกลุ่มนี้ว่า มิเพียงแต่พวกผีและวิญญาณชั่วต้องสยบยอมฟังและทำตามคำสั่งของสาวกเท่านั้น แต่พวกเขายังมีสิทธิอำนาจเหนือสัตว์ร้ายทั้งปวง และไม่มีอำนาจชั่วร้ายใดๆ ที่จะมาทำร้ายทำอันตรายชีวิตของสาวกได้เลย แล้วพระคริสต์หักมุม กระตุกเตือนความรู้สึกของพวกเขาที่กำลังดีอกดีใจ ภูมิอกภูมิใจอย่างเหลือล้นด้วยคำตรัสของพระองค์ว่า “แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน...”

จากประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจนี้อาจจะทำให้สาวกกลุ่มนี้สำคัญผิดไปว่า ตนเองประสบความสำเร็จถึงการเจริญเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในชีวิตจิตวิญญาณ เพราะพวกเขาสามารถทำให้พวกผีและวิญญาณชั่วต้องยอมสยบยอมอยู่ใต้บังคับของพวกเขา พระเยซูทรงเตือนสาวกแบบตรงไปตรงมา พวกเขาไม่ควรชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้ ถ้าวันนี้พวกเขาชื่นชมยินดีในความสำเร็จ วันหนึ่งพวกเขาจะต้องเสียใจสิ้นหวังในความล้มเหลวที่พวกเขาประสบพบ และการที่ชื่นชมยินดีเพราะตน “ประสบความสำเร็จ” ง่ายที่จะทำให้คนๆ นั้นลืมตัวหลงคิดผิดไปว่า ตนทำสำเร็จเพราะตนมีความพิเศษกว่าคนอื่น หรือ พระเจ้าทรงใช้ตนมากกว่าใช้คนอื่น พูดฟันธงคือหลงคิดผิดไปว่า ตนเป็นสาวกคนสำคัญกว่าคนอื่น

แต่พระเยซูคริสต์ทรงเตือนสติพวกสาวกว่า “แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์” พระเยซูคริสต์มิใช่คนที่ต่อต้านการมีความสุขการมีความชื่นชมยินดี แต่สาวกต้องชัดเจนว่า ที่พวกเขาชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงโปรดรับพวกเขาให้มีส่วนอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า เป็นคนที่มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระองค์ จงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงใช้ท่าน และท่านเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้

ถ้าพระเยซูคริสต์มิได้สอนเรื่องนี้ให้ชัดเจนเช่นนี้ เป็นการง่ายที่เราจะตกลงในกับดักอย่างที่สาวก 72 คน เคยประสบมาก่อนเรา และเราอาจจะเอาความเข้าใจผิดๆ นี้ไปตัดสินคนอื่นและตนเองว่า ท่านยังไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้เพราะท่านไม่สามารถทำอย่างเกิดผลอย่างที่ข้าพเจ้าทำ หรือเรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมพระเจ้าไม่ใช้เราให้ทำได้อย่าง “คนนั้น” ทั้งๆ ที่เราถวายตัวแด่พระองค์ด้วยความเต็มใจ แต่เราต้องไม่พลั้งเผลอลืมตนไปว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกเราให้ทำพระราชกิจตามพระประสงค์ของพระองค์ และพระองค์ทรงประทานกำลังความสามารถให้เราทำในสิ่งที่พระองค์ประสงค์ มิใช่เพราะเราทำได้เพราะเรามีความรู้ ความสามารถ หรือเพราะเรามีของประทานพิเศษต่างจากคนอื่น

เราต้องชัดเจนว่า เราไม่สามารถเผชิญหน้ากับอำนาจแห่งความมืดบอดเพราะเรามีฤทธิ์อำนาจ(จากพระเจ้า)ที่จะควบคุมบังคับและสั่งมันได้ แต่ต้องตระหนักชัดว่า พระวจนะของพระเจ้าต่างหากที่เป็นดาบสองคมที่ทรงฤทธิ์อำนาจที่เป็นผู้จัดการกับความมืดบอดและอำนาจชั่วเหล่านั้นมิใช่ฤทธิ์เดชความสามารถในตัวเรา

ถ้าเราคนใดมีความคิดว่า ตนได้รับฤทธิ์เดชกำลังที่สามารถจะต่อสู้กับอำนาจชั่วร้ายและพลังแห่งความมืดบอดแล้ว คงต้องขอกันตรงๆ ในวันนี้ว่า จงกลับใจเสียใหม่ จงสละละทิ้งความเป็นตัวตนของตนเอง มีจิตใจที่ถ่อมลงต่อหน้าพระเจ้า และยอมที่จะดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ด้วยจิตใจที่ถ่อม สุภาพ และขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทำให้ท่านเป็นคนหนึ่งในแผ่นดินของพระองค์ และพระองค์จะทรงเลือกใช้ท่านตามพระประสงค์ของพระองค์ มิใช่ตามใจต้องการของท่าน

ในวันนี้ให้เราเปิดชีวิตของเรา
เพื่อพระองค์จะทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา
เพื่อพระองค์จะทำพระราชกิจผ่านชีวิตของเรา
เพื่อเราจะวางใจในพระคุณของพระองค์มากและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เพื่อเราจะเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์
เพื่อเราจะเป็นคนใช้คนหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ ที่พระองค์ทรงไว้วางใจได้
เพื่อเราจะมั่นใจในพระองค์ แทนความมั่นใจในตนเอง
เพื่อเราจะมั่นใจว่าพระเจ้าทรงใช้เราไปทำพระราชกิจของพระองค์ในพระนามของพระองค์
เพื่อเราจะภาคภูมิใจที่พระองค์ทรงใช้เรา
เพื่อชีวิตทั้งสิ้นของเรามีส่วนในการสรรเสริญยกย่องพระเจ้า
ทั้งสิ้นนี้เป็นไปได้เพราะเป็นพระคุณของพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น