14 ตุลาคม 2554

อิทธิพลที่นำผู้นำ

อ่านปฐมกาล 13:14-18


เมื่อพูดถึงผู้นำที่ผู้คนยกย่องยอมรับ เรามักคิดถึงผู้นำที่มี “วิสัยทัศน์” หรือ ในพระคัมภีร์เราหมายถึงผู้นำที่มี “นิมิต” ที่จะนำองค์กร หรือชุมชนไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ หนุนเกื้อความเจริญ เข้มแข็ง และความเติบโตขององค์กรชุมชน และนำไปสู่เป้าหมายปลายทางที่เสริมสร้างคุณค่า ความหมาย ที่อยู่เหนือและมากกว่า ตนเอง ครอบครัว และพรรคพวก กล่าวคือมุ่งที่จะนำชุมชนองค์กรจาริกไปบนเส้นทางที่นำไปสู่ “พระประสงค์ของพระเจ้า”

บทเรียนวิกฤติในคาราวานของอับรามและโลทที่เกิดการแย่งชิง “พื้นที่ทำมาหากิน” ในที่นี้หมายถึงทุ่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์สำหรับคาราวานใหญ่ของทั้งอับรามและโลท จนถึงขั้นเกิดการทะเลาะขัดแย้งกันรุนแรง ทั้งอับรามและโลทในฐานะผู้นำคาราวานปรึกษาหาทางแก้ไขวิกฤติขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยอับรามเป็นฝ่ายริเริ่ม ต่างก็เห็นว่าทางที่ดีของการแก้ไขวิกฤตินี้คือ การขยายพื้นที่ทุ่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์ของทั้งสองฝ่ายด้วยการแยกคาราวานทั้งสองออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างแสวงหาและเลือกพื้นที่ทำมาหากินสำหรับคาราวานของตน โดยอับรามให้โอกาสแก่โลทในการเลือกก่อน

การตัดสินใจในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้เป็นเครื่องชี้วัด “กึ๋นภาวะผู้นำ” ของทั้งอับราฮัมและโลท
เป้าหมายชัดเจนของการแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้เป็นตัวชี้ชัดถึงอิทธิพลที่ซ่อนเร้นภายในตัวผู้นำ กล่าวคือ“มุมมอง” หรือ “วิสัยทัศน์” ของผู้นำที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำ และการนำของเขา ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อองค์กรและชุมชนที่เขานำ

โลท เมื่อต้องแก้วิกฤติขัดแย้งครั้งนี้ อิทธิพลของมุมมอง หรือ วิสัยทัศน์ของเขาในการตัดสินใจเลือกคือ เลือกหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ที่มีความเจริญก้าวหน้า ทันสมัย ที่จะทำให้ตนประสบกับความรุ่งโรจน์ สำเร็จในชีวิต

“โลทเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ และเห็นว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดตามทิศที่จะไปเมืองโศอาร์นั้นมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ดี ดั่งสวนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดั่งแผ่นดินอียิปต์... โลทจึงเลือกที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นของตน และรอนแรมไปทางทิศตะวันออก...โลทไปอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ในที่ราบจอร์แดน และตั้งเต็นท์ของตนใกล้เมืองโสโดม ชาวมืองโสโดมนั้นชั่วร้ายและทำบาปมหันต์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ปฐมกาล 13:10-13 อมตธรรม) [พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานข้อ 12 และ 13 แปลว่า “...โลทอาศัยในเมืองต่างๆ ในที่ราบ และย้ายเต็นท์ไปตั้งถึงเมืองโสโดม ผู้ชายเมืองโสโดมเป็นคนชั่วร้าย ทำผิดบาปต่อพระยาเวห์มาก]

มุมมอง หรือ วิสัยทัศน์ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการเลือกของโลทคือ ความมั่งคั่งร่ำรวย ความเด่นดังสำคัญ และ โอกาสและผลประโยชน์ทางการค้าขายสำหรับตน โลทมองข้ามหรือละเลยความสำคัญสองประการและมองข้ามความเสี่ยงในการตัดสินใจเลือกครั้งนี้คือ สัมพันธภาพ และ พระประสงค์ของพระเจ้า แต่เขากลับเลือกที่จะอยู่ใกล้และเสี่ยงกับวัฒนธรรม กระแสสังคม และวิถีการดำเนินชีวิตที่ “ชั่วร้าย” และ “ทำบาปมหันต์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ส่วนอับราม มีมุมมอง หรือ วิสัยทัศน์ในวิกฤติขัดแย้งครั้งนี้คือ การรักษาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ของชุมชนของเขากับชุมชนของโลท จัดการความขัดแย้งให้เกิดสันติและการอยู่รอดร่วมกัน เป็นผู้นำที่ริเริ่มในการแก้ปัญหา และให้โอกาสแก่ผู้อื่นก่อน ไม่กลัวว่าตนจะเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบ อับรามกล่าวกับโลทว่า “อย่าให้เรากับเจ้า หรือ คนของเรากับคนของเจ้าทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน ที่ดินทั้งหมดอยู่ข้างหน้าเจ้ามิใช่หรือ? เราแยกทางกันเถอะ ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราจะไปทางขวา ถ้าเจ้าไปทางขวา เราจะไปทางซ้าย”(ปฐมกาล 13:8-9 อมตธรรม)

มุมมอง หรือ วิสัยทัศน์ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกและตัดสินในของอับราคือ ความไว้วางใจในพระประสงค์ แผนการ และ การทรงนำของพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ ทางทิศเหนือ...ใต้...ออก...ตก เราจะมอบดินแดนทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นให้แก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดไป เราจะให้เชื้อสายของเจ้ามีจำนวนมากมาย...ดุจผงธุลีบนแผ่นดินโลก...” (ปฐมกาล 13:14-17 อมตธรรม) และวิสัยทัศน์เช่นนี้มีอิทธิพลต่อวิถีการดำเนินชีวิตและการเป็นผู้นำของอับรามคือ “ดังนั้น อับรามจึงย้ายเต็นท์ไปอยู่...ที่เมืองเฮโบรน และสร้างแท่นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น” (13:18 อมตธรรม)

นี่คือความแตกต่างของอิทธิพลที่มีเหนือผู้นำทั้งสองคน คนหนึ่งย้ายไปอยู่ในกระแสสังคมและวัฒนธรรมทันสมัย แต่เสี่ยงต่อการดำเนินชีวิตที่ชั่วร้ายและทำบาปต่อพระเจ้า ในขณะที่ผู้นำอีกคนหนึ่งเชื่อในแผนการ การทรงนำ และเดินไปบนเส้นทางตามพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งที่เขาทำสิ่งแรกคือ “สร้างแท่นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น”

นิมิต หรือ วิสัยทัศน์ มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อภาวะผู้นำของผู้นำแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่า ผู้นำคนนั้นจะมุ่งมองแสวงหานิมิต หรือ วิสัยทัศน์จากเบื้องบน จากองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือ ผู้นำคนนั้นมุ่งมองแสวงหานิมิต หรือ วิสัยทัศน์ตามเสียงของความอยากได้ใคร่มี ความโลภ ความเห็นแก่ตัว หรือฟังเสียงของพรรคพวก ลิ่วล้อ คนรอบข้าง ความจริงก็คือว่า

  • วิสัยทัศน์นั้นงอกเงยขึ้นจากภายในชีวิตของคนๆ นั้น
  • วิสัยทัศน์มิได้ผุดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่ถูกบ่มเพาะในชีวิตที่ผ่านมา
  • วิสัยทัศน์ของผู้นำเป็น “วิสัยทัศน์เพื่อตัวกูของกู” หรือ “วิสัยทัศน์บนรากฐานพระประสงค์ของพระเจ้า” ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์เพื่อผู้อื่นและส่วนรวม
  • วิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นวิสัยทัศน์อยากได้ใคร่เป็นอย่างคนอื่นเขาเด่นดังกันในสังคม หรือ เป็นวิสัยทัศน์ที่แก้ไข เสริมสร้าง ระบบ คุณค่า ความหมายแก่สังคมและชุมชน และองค์กรที่ตนนำ
  • วิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นแค่ “คำพูด” “ข้อความบนกระดาษ” “คำขวัญสลักบนกำแพง” แต่ผู้นำกลับทำไปอีกทิศทางหนึ่ง หรือ วิสัยทัศน์เป็นเข็มทิศที่ช่วยให้ผู้นำมุ่งไปสู่ทิศทางที่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำองค์กรไปให้ถึงจงได้

สิ่งดีของการมีนิมิต หรือ วิสัยทัศน์สิ่งหนึ่งคือ วิสัยทัศน์นั้นเป็นเหมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดให้ผู้นำและองค์กรเข้าไปให้ถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นตั้งใจไว้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ วิสัยทัศน์สำหรับคริสเตียนและองค์กรคริสเตียนมิใช่วิสัยทัศน์ที่ล้อไปตามวิสัยทัศน์ขององค์กรอื่นที่ใหญ่กว่า หรือ เด่นดังกว่า มิใช่วิสัยทัศน์ตามใจปรารถนาของผู้นำ มิใช่วิสัยทัศน์ที่วิ่งตามกระแสสังคม วัฒนธรรมความทันสมัย แต่วันนี้เราคงต้องหยุดตนเอง และ ถามใจตัวเองว่า วิสัยทัศน์ที่เรามีอยู่นี้ยืนอยู่บนรากฐานแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่? และถ้าวิสัยทัศน์ของเราเป็นส่วนหนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้า วิสัยทัศน์นั้นจะมีแรงดึงดูดเราเข้าไปสู่พระประสงค์แรงเกินกว่าที่เราคาดหมาย


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น