26 ตุลาคม 2554

เราคิดเหมือนพระเยซูหรือเปล่า?

อ่าน มัทธิว 4:1-11

ตั้งแต่พระเยซูคริสต์เริ่มพระราชกิจในโลกนี้ของพระองค์ สิ่งแรกพระองค์ทรงเรียกและท้าทายคนเหล่านั้นให้เปลี่ยนแปลงความคิดและวิธีคิดของตน คนที่จะติดตามพระเยซูคริสต์จะต้องเริ่มต้นด้วยการยอมที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและความคิดให้เหมือนพระองค์ พระองค์ทรงเรียกร้องและท้าทายให้พวกเขา “กลับใจเสียใหม่” เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ซึ่งจะมีพลังกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีชีวิตของคนๆ นั้น

การถูกมารทดลองในถิ่นทุรกันดารของพระเยซูคริสต์เป็นบทพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นชัดว่า พระองค์มีวิธีคิดและความคิดแตกต่างไปจากกระแสนิยม แตกต่างจากกระแสสังคมในเวลานั้นของพระองค์ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ความเชื่อในศาสนายิว และอำนาจความสัมพันธ์

เป็นที่แน่ชัดว่า คนยิวส่วนใหญ่ในเวลานั้นต่างมี “ไฟปฏิวัติ” ในจิตใจ ต่างต้องการที่จะปลดแอกตนเองจากการตกเป็นเมืองขึ้น และการอยู่ใต้อำนาจของกองกำลังโรมันและลิ่วล้อคนท้องถิ่น ไม่แปลกที่มีกระบวนการทั้งบนดินและใต้ดินที่สั่งสมกองกำลังติดอาวุธเพื่อรอเวลาที่จะต่อสู้กับกองทัพโรมัน และกระบวนการเหล่านี้ก็ผสมผสานเอาความเชื่อในศาสนายิวเข้าเป็นพลังในการปลุกระดมคนยิวร่วมเป็นกองกำลังปฏิวัติ

พวกเขากำลังรอผู้นำทัพครับ! พวกเขารอพระเมสสิยาห์ที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาออกจากอำนาจกดขี่ของโรมัน ดังนั้น ประชาชนพร้อมที่จะเข้าร่วมเป็นคนหนึ่งในกองกำลังดังกล่าว ประเด็นอยู่ที่ว่า ใครที่จะมานำทัพจะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนนิยมชมชื่นและเชื่อว่าตนเองคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาตามพระสัญญา และยอมเข้ามาร่วมกับตนในการเปลี่ยนแปลงการปกครองและพลิกฟื้นราชอาณาจักรดาวิดขึ้นใหม่

ผู้มาผจญ ได้เสนอแนวทางอันชาญฉลาดเพื่อที่พระเยซูจะได้ใจของประชาชน และใช้พลังของพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มารเสนอว่า ท่ามกลางความยากจนหิวโหย อาหารเป็นยุทธปัจจัยที่ทรงพลัง ดังนั้น ให้พระเยซูคริสต์เสกก้อนหินเหล่านี้ที่มีดาษดื่นทั่วไปบนพื้นดินให้กลายเป็นขนมปังเพื่อแจกจ่ายซื้อใจของประชาชน และที่สำคัญกว่านั้น การเสกก้อนหินให้เป็นขนมปังเป็นการอัศจรรย์ที่พิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นคนของพระเจ้าได้อย่างยอดเยี่ยม และพระเจ้าพระบิดาก็ให้สิทธิอำนาจในเรื่องนี้แก่พระองค์แล้ว พระองค์ควรใช้มันทันที (ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน มารคงนำเสนอให้พระเยซูเสกก้อนหินให้เป็นเงินทองแน่ แท้จริงมารก็ทำสำเร็จแล้ว คือทำให้พวกผู้นำคริสเตียนส่วนใหญ่มุ่งหน้าตั้งตาแสวงหาเงินทองในงานของพระเจ้า)

น่าสังเกตว่า มารเสนอวิธีคิด และ แนวทางดังกล่าวนั้น จุดประสงค์เพื่อเพียงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเองโดยใช้พลังและชีวิตของประชาชนเป็นเครื่องมือเป็นประการแรก ประการที่สองใช้ของประทานของพระเจ้าคือ “ขนมปัง” ที่เป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันมาใช้เพื่อสร้างฐานอำนาจแก่ตน ประการที่สาม ให้ประชาชนเสพติด “ผลประโยชน์” เพื่อตนจะสามารถควบคุม บงการ และมีอำนาจเหนือประชาชนตลอดกาล ประการที่สี่มารเสนอให้ใช้สิทธิอำนาจที่พระเยซูได้จากพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างบารมีอำนาจของตนเองผ่านการทำอัศจรรย์ (ถ้าเป็นปัจจุบัน เห็นชัดที่นักการเมืองใช้กระบวนการ “ประชานิยม” เพื่อสร้างเสริมอำนาจและบารมีของตนเอง ซึ่งคริสตจักรต้องระมัดระวังที่ไม่เผลอตกกับดักมารไปใช้กระบวนการที่คล้ายคลึงกันนี้ และสมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นไม่ควรหลง “กินเหยื่อ” จนต้องติดเบ็ดเจ็บตัวไปในที่สุด)

พระเยซูคริสต์ไม่ยอมพลาดท่าตกหลุมพลางที่มารมันวางไว้ พระองค์รู้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบนแผ่นดินโลกใบนี้ และที่เริ่มต้นในแผ่นดินปาเลสไตน์นั้น มิใช่อยู่ที่กองกำลังบนดินหรือใต้ดิน มิได้อยู่ที่พลานุภาพแห่งอาวุธที่ใช้ มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้คนที่นิยมชมชื่นยอมอุทิศตนเพื่อแผ่นดินมากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่รากฐานชีวิตจิตใจของมนุษย์แต่ละคน และที่สำคัญคือ พระองค์ต้องการให้ “พระวจนะหรือพระประสงค์ของพระเจ้า” เป็นรากฐานชีวิต และ เป็นแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตจิตวิญญาณของแต่ละคน สิ่งนี้ต่างหากที่จะเปลี่ยนแผ่นดินนี้ให้เป็น “แผ่นดินของพระเจ้า หรือ แผ่นดินสวรรค์” ดั่งอมตะวจีของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4 ฉบับมาตรฐาน) การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมิได้มาด้วยการสร้างกระแส “บริโภคนิยม” หรือมิใช่สร้างให้ประชาชนมานิยมชมชอบตนเองด้วยกระบวนการประชานิยมที่ใช้บริโภคนิยมเป็นตัวล่อ

ในโลกปัจจุบันนี้ การแข่งขันช่วงชิงอำนาจให้เป็นผู้กุมสถานการณ์เป็นเรื่องที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนี้มาอยู่ในมือของตน แม้ไม่สามารถได้มาด้วยเล่ห์ ก็ให้ได้มาด้วยเหลี่ยม หรือ ด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ มารไม่เคยลดละ มันลุยต่อนำพระเยซูไปบนยอดหลังคาพระมหาวิหาร และท้าทายให้พระองค์กระโดดลงไป นี่เป็นคำท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เป็นการท้าทายให้พระเยซูพิสูจน์ว่า ตนคือคนที่พระเจ้าส่งมาสำหรับการเปลี่ยนแปลงแผ่นดินโลกแท้จริงหรือไม่ ถ้าแท้จริงพิสูจน์ให้เห็นหน่อย เพราะพระคัมภีร์มีพระสัญญาของพระเจ้าว่า ถ้าเป็นคนของพระองค์ที่ส่งมาจริง พระเจ้าจะรองรับความปลอดภัยทุกอย่าง ในมิตินี้มารกำลังที่จะสร้างให้เกิดความลังเลใจให้เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ และในเวลาเดียวกันเป็นการหลอกล่อให้พระเยซูคริสต์ทำการอัศจรรย์ครั้งใหญ่ ถ้าประชาชนเห็นแล้วจะยอมรับสวามิภักดิ์ติดตามพระองค์ทันที เพราะพระองค์เต็มไปด้วยฤทธิ์ และประชาชนจะติดตามพระองค์เพราะการอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำแต่ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดชีวิตของตนตามพระประสงค์ของพระเจ้า และนั่นคือความล้มเหลวจบสิ้นแห่งพระราชกิจของพระเยซูคริสต์

ในที่นี้คงต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่า พระเยซูคริสต์มิได้ปฏิเสธในการทำการอัศจรรย์ เพราะในพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำนั้นมากมายด้วยการอัศจรรย์ แต่ความแตกต่างในที่นี้คือ การอัศจรรย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำในพระราชกิจของพระองค์นั้นเพื่อเป็นการเยียวยารักษา การปกป้องชีวิต การทำให้กลับมีชีวิตใหม่สำหรับคนทั้งหลาย แต่การอัศจรรย์ที่มารท้าทายโดยล่อลวงให้พระเยซูกระโดดลงจากยอดหลังคาพระวิหารนั้นเป็นการทำการอัศจรรย์เพื่อเสริมสร้างอำนาจ บารมี และการทำให้คนอื่นยอมรับพระองค์ แต่ที่สำคัญยิ่งคือมารเสนอการทำอัศจรรย์นี้มิใช่กระทำด้วยความเชื่อศรัทธาและไว้วางใจในพระเจ้า และเพื่อตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ต้องการทดลองพระเจ้า และ พิสูจน์ความสำคัญของตนเอง ในครั้งนี้อมตะวจีของพระเยซูคริสต์ก็เป็นพระวจนะของพระเจ้าอีกเช่นกันคือ “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” (มัทธิว 4:7 ฉบับมาตรฐาน)

บางครั้งเมื่อถึงจุดหนึ่งของการแข่งขัน ช่วงชิง หรือการต่อสู้จะต้องตัดสินใจเผด็จศึกเพื่อคาดหวังให้ได้ชัยชนะเบ็ดเสร็จให้ได้ และนี่คือวิธีการของผู้ที่เข้ามาทดลองพระเยซูคริสต์ใช้ด้วยเช่นกัน วิธีการของมันคือ มารเสนอผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกันระหว่างมันกับพระเยซู ถ้าพระเยซูคริสต์ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ใหม่ มารก็พร้อมที่จะมอบโลกใบนี้ให้พระองค์ทันที ไม่อิดออด! และสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกับพระเยซู ดูเหมือนว่าพระเยซูเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะมารยอมมอบอาณาจักรทั้งหลายในโลกนี้ และความรุ่งโรจน์เจริญรุ่งเรือง ความก้าวรุดหน้าทันสมัยของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ เพียงขอพระเยซูยอมน้อมรับนับถือมารว่ามันเป็นส่วนสำคัญและความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เท่านั้น

ใคร่ครวญถึงที่นี่ แล้วกลับย้อนมองหาตนเอง น่าตกใจมากครับ ปัจจุบันนี้คริสเตียนเรายอมรับข้อเสนอการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับมารด้วยความภูมิอกภูมิใจ พออกพอใจครับ เรายอมรับเอาความทันสมัยสุดๆ ยอมรับเอาความเจริญรุ่งเรือง ยอมรับเอาความรุ่งโรจน์แห่งกิจการงานองค์กรคริสเตียนและคริสตจักร เราวิ่งไล่ไขว่คว้าตามกระแสแห่งความเจริญและทันสมัยของโลกนี้ เราต้องการโรงพยาบาลที่ทันสมัย โรงเรียนที่มีอุปกรณ์ทันสมัยทัดเทียมกับคนอื่น อาคารที่ยิ่งใหญ่ นักเรียนมากในระดับแนวหน้า แล้วก็วัดกันที่รายได้ผลกำไร หรือไม่ก็กระดาษรับรองมาตรฐานตามเกณฑ์ที่สังคมวางไว้ เราวิ่งตามการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ แต่ทอดทิ้งคนยากไร้ ด้อยโอกาส เด็กข้างถนนไว้ก่อน เรามีตึกสภาฯ ที่ยิ่งใหญ่ใจกลางเมืองธุรกิจระดับชาติ และเราก็ยอมรับนับถือหลักเกณฑ์เหล่านี้ เอาสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายปลายทางในชีวิตและองค์กรของเรา เราก้มลงนมัสการใครกันแน่ในเวลานี้? การอุทิศจงรักภักดีของเราที่มีพระเจ้าเป็นหนึ่งเป็นเอกในชีวิตและองค์กรของเรายังเหลือหลออยู่หรือเปล่า? หรือเราเอาไปแลกกับ “มาร” เรียบร้อยแล้ว?

สำหรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ตอบสนองข้อเสนอของมารอย่างแรงและตรงไปตรงมาคือ “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” พร้อมกับใช้พระวจนะของพระเจ้าในการต่อสู้กับมารครั้งนี้ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (ดูมัทธิว 4:10 ฉบับมาตรฐาน) การต่อสู้ขั้นเผด็จศึกของมารนี้แหลมคมนัก เพราะเป็นข้อเสนอที่ถูกเนื้อต้องใจของผู้นำองค์กรคริสเตียนและคริสตจักรอย่างยิ่ง ดังนั้น พระเยซูคริสต์ตอบสนองขั้นตอนเผด็จศึกนี้อย่างไม่ยอมประนีประนอมด้วยการเปิดโปงให้รู้ว่า “เจ้าคือมารซาตาน จงไปให้พ้น” และพระองค์เลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าเท่านั้น พระองค์เลือกที่จะเป็นทาสรับใช้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาแต่ผู้เดียว

แต่เราปัจจุบัน ผู้นำคริสตจักร และองค์กรคริสเตียน คงต้องมีเวลาถามตนเองว่า เรากำลังมุ่งสร้างให้ตนเองเป็นที่ยกย่องเชิดชูและต้องการให้ผู้คนสวามิภักดิ์ต่อตนเอง หรือมุ่งทำตนทำงานที่สวามิภักดิ์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า? แล้วเป้าหมายปลายทางของชีวิตและการงานคือพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของตน และ ในองค์กรคริสเตียนหรือไม่?

“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”
(มัทธิว 6:10 ฉบับมาตรฐาน)
ยังเป็นคำอธิษฐานและเป้าหมายปลายทางในการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์หรือไม่?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น