24 ตุลาคม 2554

เห็นวิกฤติ...เห็นโอกาส

เห็นวิกฤติ...เห็นโอกาส
มองข้ามวิกฤติ...มองข้ามโอกาส

โถ... ใครบ้างต้องการอยู่ในภาวะวิกฤติ? ใช่ครับใครก็ไม่อยากเผชิญหน้า หรืออยู่ในวิกฤติ
แต่... แต่ละคนก็ต้องพบกับวิกฤติชีวิต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว
ยิ่งคนที่ต้องอยู่ในภาวะผู้นำแล้ววิกฤติเป็นสิ่งที่คนๆ นั้นต้องประสบพบเจอ
เมื่อประสบพบเจอแล้วจะมีท่าทีและการตอบสนองเช่นไรต่อวิกฤตินั้นต่างหาก... ที่สำคัญ

บางคนทำเป็นมองไม่เห็น
บางคนมองข้าม
บางคนกลบเกลื่อน(หลอก)ตนเองและลูกน้องว่าไม่มีวิกฤติ
บางคนมองวิกฤติต่ำกว่าความเป็นจริง
บางคนขยายวิกฤติจนดูหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เป็นจริง
บางคนมองหาสัจจะความจริงที่ "วิกฤติ" ต้องการที่จะบอกแก่เขา

เพื่อที่จะนำสัจจะความจริงนั้นเป็นตัวกำหนดทิศทางและวิธีการในการแก้ไขและพัฒนา
อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นจะใช้ "ปัญญา" จากเบื้องบน และ
ใช้ "สัจจะ" ที่ได้จากวิกฤติในการแก้ไขพัฒนาวิกฤติที่เผชิญให้เป็นโอกาสที่จะเติบโตขึ้น
หรือเพียงเพื่อพยายามหาทางที่ตนเองจะ "หลุดรอด" ออกจากวิกฤตินั้นอย่างไรเท่านั้น

วิกฤตินั้นเกิดขึ้นในสถานการณ์และสภาพที่แตกต่างหลากหลาย
บ้างก็เป็นวิกฤติที่มาจากธรรมชาติแวดล้อม อย่างที่คนไทยเราเผชิญหนักหนาสาหัสมาแล้ว
บ้างก็เป็นวิกฤติในองค์กร หน่วยงาน บริษัท ไม่ว่างเว้นแม้แต่คริสตจักร
บ้างก็เป็นวิกฤติการเมืองอย่างในบางประเทศที่พบเจอ (ไทยเราด้วย)
บ้างก็เกิดวิกฤติภาวะผู้นำในการบริหารจัดการ (ไทยเราก็พบด้วย)
บ้างก็เกิดวิกฤติทางด้านการเงิน (อันนี้พบกันถ้วนหน้าในตอนนี้)
บ้างก็เกิดวิกฤติทางด้านธุรกิจ (อันนี้แม้แต่คนที่ไม่ควรเจอก็เอาตัวเองเข้าไปเจอจนได้)
และที่พบกันถ้วนหน้าคือวิกฤติในชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนครับ
และบ่อยครั้งมากครับ ที่วิกฤติที่ประสบพบเจอมักเป็นวิกฤติที่มีสาเหตุหลายด้านหลายมิติที่มาพัวพันเชื่อมโยงกัน

เมื่อพูดถึงวิกฤติในตอนนี้ หลายคนก็จะพุ่งความสนใจไปสู่วิกฤติน้ำท่วมประเทศไทย!
ผมขอเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้และการเมืองที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ครับ (ใครว่าเชยก็ตามใจเถอะ)
แต่ขอกล่าวว่า เมื่อเกิดวิกฤติเราต้องการผู้นำที่ใช้สติปัญญาในการเผชิญภาวะวิกฤติ
และสติปัญญาที่ใช้นี้มิใช่เพื่อ "เล่นการเมือง" เอาแพ้เอาชนะกัน
หรือสติปัญญาที่ใช้นี้มิใช่เพื่อ "ปกป้อง" ฐานะ ตำแหน่ง ชื่อเสียง และความอยู่รอดของตน "พรรค" และ "พวก"
ผู้นำในวิกฤตินั้นต้องได้รับและใช้ "พระปัญญา" จากเบื้องบน
มิใช่เล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย หรือ "โกหกโหล" มาใช้ในการแก้ไขวิกฤติที่อยู่ข้างหน้า
ถ้าให้ "พระปัญญา" นำหน้าและชี้ทิศทางการเผชิญวิกฤติ เราก็จะพบกับโอกาสใหม่ครับ

โอกาสการที่จะเรียนรู้จากการสอนและหล่อหลอมจาก "พระปัญญา" และพระวิญญาณ
โอกาสที่จะพบสัจจะ ความจริง และแสงสว่างใหม่
โอกาสที่ฝึกปรือตนเองที่จะเชื่อ ไว้วางใจ และอดทนในภาวะวิกฤติ
โอกาสที่จะเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาเวห์ และ มีชีวิตที่สงบในพระองค์
โอกาสที่คนในองค์กรจะเรียนรู้ร่วมกัน และ สัมผัสถึงพระปัญญาจากเบื้องบน
โอกาสที่คนในองค์กรเห็นผลถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่โอกาสเหล่านี้จะเป็นไปได้เริ่มต้นที่ผู้นำ "ถ่อม" และ "ถวาย" ชีวิตของตนแด่พระประสงค์ของพระเจ้า
โอกาสเหล่านี้จะเป็นไปได้เมื่อ คนที่เป็นผู้นำกล้าที่จะลงมาจาก "บัลลังก์" ชีวิตและตำแหน่งผู้นำ
กล้าที่จะเปลี่ยนจากการบังคับบัญชา สั่งการ ควบคุม สู่การ"ลงไป" รับฟังและพร้อมรับใช้บริการคนอื่นๆ ทั้งหมดในองค์กร
เพราะพระเยซูเป็นคนแรกที่ยอมถ่อมลงรับใช้สาวก จึงได้สาวกที่ยอมรับใช้ประชาชน
เพราะพระคริสต์เป็นผู้นำที่กล้าที่จะให้และเสียสละชีวิตของพระองค์เอง
เพื่อผู้คนจะได้ชีวิตใหม่ ในกระบวนการของพระองค์จึงได้สาวกที่ให้ชีวิต

ตรงกันข้าม ถ้าองค์กรใดมีผู้นำที่ "ยึดเกาะบังลังก์" ใช้อำนาจ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
ก็จะได้ลูกน้อง ลิ่วล้อ และพรรคพวกในองค์กรที่ "โกง กิน" ตามน้ำตามกระแส
และถ้าองค์กรใดมีผู้นำที่ชีวิตไร้ "ความเชื่อที่สำแดงออกในชีวิตบริหาร" "ไร้คริสต์จริยธรรม"
องค์กรนั้นก็จะได้คนที่ เก่งโกง เก่งกิน และลุยไปตามน้ำตามกระแสสังคมที่ไร้คริสต์จริยธรรมในชีวิต
และผู้นำแบบนี้เองที่นำวิกฤติมาสู่องค์กรของตนเอง คริสตจักรของตนเอง
ผู้นำแบบนี้แม้จะมองจน "ตาถลน" ก็มองไม่เห็นวิกฤติขององค์กร
เพราะภาวะผู้นำของคนๆ นั้น ที่นำวิกฤติเข้ามาในองค์กรเอง

เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำในคริสตจักรที่มีอายุยาวนานและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้แบ่งปันให้ผมฟังว่า
ตอนนี้คริสตจักรของเขากำลังตกลงในวิกฤติหนัก เงินถวายลดฮวบลง
ตัวเลขเงินถวาย(รายรับ) กับตัวเลขในงบประมาณรายจ่ายห่างกันราวฟ้ากับดิน
เขาบอกผมว่า คณะธรรมกิจของคริสตจักรต้องเข้ามาพิจารณาและจัดการในเรื่องนี้
พวกเขาดูว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้รายจ่ายลดลงเพื่อที่จะให้ตัวเลขรายจ่ายใกล้เคียงหรือสมดุลกับรายรับ
ในที่สุดก็ออกมาตรการสำคัญๆ เช่น ลดคน ลดกิจกรรม ประหยัดรายจ่าย

ผมก็แสดงความคิดเห็นว่า... เมื่อเกิดวิกฤติต้องระวังไม่มองวิกฤติบิดเบี้ยวไปจากความจริงของวิกฤตินั้น
ผมถามว่า...ตอนที่วางงบประมาณ เขาวางงบประมาณเกินเลยความสามารถในการถวายของสมาชิกหรือไม่
ตอนที่คิดกิจกรรมคริสตจักรได้สร้างกิจกรรมใหม่ๆ "โอเวอร์" จากความสนใจและศักยภาพของคริสตจักรหรือไม่
คำตอบที่ได้รับคือ "ไม่" ทุกอย่างดำเนินไปใกล้เคียงกับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา
ผมถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นเงินถวายปีนี้่ลดต่ำลงจากปีที่ผ่านๆ มาหรือไม่ คำตอบคือต่ำอย่างน่าเป็นห่วง
คงหนีไม่พ้นที่ผมต้องถามว่า แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้สมาชิกคริสตจักร "หดมือ" ในการถวาย
เพื่อนผมใช้เวลาคิด เวลาใคร่ครวญตั้งนาน... แล้วก็โพล่งออกมาว่า
"ศิษยาภิบาลไปมีกิ๊กกับสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักรมาเป็นเวลาห้าเดือนแล้ว...
ตอนนี้เขาตัดสินใจหย่าภรรยาทิ้งลูกทิ้งเมียไปอยู่กับกิ๊ก"
แล้วยังไงต่อล่ะครับ
"เขาออกจากศิษยาภิบาล ทิ้งโบสถ์ไปด้วยครับ"

ผมเลยถามต่อไปว่า "แล้วมาตรการลดกิจกรรม ลดคนทำงาน ลดรายจ่ายของโบสถ์จะช่วยให้ตัวเลขมันสมดุลได้ไหม?"

ใช่แล้ว สัจจะ ที่วิกฤติครั้งนี้บอกกับเรามิใช่วิกฤติเงินไม่พอ คนทำงานมากเกินไป แต่นี่เป็นวิกฤติศรัทธาครับ
วิกฤติศรัทธาในตัวผู้นำคริสตจักรคือศิษยาภิบาล(อาจจะพร้อมกับคณะธรรมกิจที่ขาดการเอาใจใส่ ขาดความรับผิดชอบ)
วิกฤติศรัทธาทำให้เกิดอาการของการ "หดมือ" ในการถวาย
การเผชิญหน้าแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ต้องตอบสนองต่อสัจจะที่ได้รับจากวิกฤติ
จะแก้ไขและพัฒนาความศรัทธาของสมาชิกในคริสตจักรแห่งนี้ขึ้นใหม่อย่างไร
คงไม่ใช่ไปตัดคน ตัดรายจ่าย ลดกิจกรรม อะไรในทำนองนั้น
ตัวเลขรายจ่ายกับรายรับจะได้รับการแก้ไขต้องเกิดจากผลกระทบของการสร้างเสริมศรัทธาในองค์กรให้กลับมาก่อน

ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤติ ให้เราฝ่าวิกฤติดังนี้
ประการแรก ต้องมองให้เห็นวิกฤติก่อน
ประการต่อมา มองให้เห็นสัจจะที่วิกฤติบอกกับเรา
ประการที่สาม นำสัจจะที่ได้จากวิกฤติมาเป็นเข็มทิศในการแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้น
ประการที่สี่ เผชิญหน้าวิกฤติด้วย "พระปัญญา" จากเบื้องบน
ประการที่ห้า เผชิญหน้าวิกฤติด้วยภาวะผู้นำที่ "ถ่อม" "รับใช้" "เสียสละ" เยี่ยงพระคริสต์
ประการที่หก ยอมและน้อมรับการ "ตีสอน" หรือ "การเสริมสร้างใหม่" จากพระเจ้า
ประการสุดท้าย ใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการเติบโตขึ้นในพระคริสต์ร่วมกัน

จงวางใจในพระยาเวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงกระทำให้วิถีชีวิตของเจ้าราบรื่น
อย่าคิดว่าตนมีปัญญา จงยำเกรงพระยาห์เวห์ และจงหันจากความชั่วร้าย
มนุษย์ผู้พบปัญญา และมนุษย์ผู้ได้ความเข้าใจ ก็เป็นสุขจริงหนอ
เพราะผลที่ได้จากปัญญาย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงิน และผลิตผลของปัญญาก็ดีกว่าทองคำ
ปัญญาล้ำค่ากว่าอัญมนี และทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาไม่อาจเปรียบกับปัญญาได้เลย
ชีวิตยืนยาวในมือขวาของปัญญา ส่วนในมือซ้ายมีความมั่งคั่งและเกียรติยศ
ทางของปัญญาเป็นทางของความร่มรื่น และวิถีทั้งสิ้นของปัญญาคือความสงบสุข
ปัญญาเป็นต้นไม้แห่งชีวิตแก่ผู้ที่ฉวยเธอไว้ บรรดาผู้ที่ยึดเธอไว้แน่นจะสุขสบาย
(สุภาษิต 3:5-7; 13-18 ฉบับมาตรฐาน)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

สิ่งดีๆ ที่ได้จากวิกฤติ

วิกฤติบ่งชี้ถึงสัจจะความจริง

วิกฤติได้บ่งบอกออกมาให้เรารู้ว่าผู้นำคนๆ นั้นทรหดแข็งแกร่งแค่ไหน, ดื้อรั้นดันทุรังเพียงใด, วิกฤติได้บ่งบอกออกมาว่าอะไรที่สำคัญและอะไรที่ไม่สำคัญ, วิกฤติฉายส่องออกมาว่าคุณเชื่ออะไร และแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในความเชื่อของคุณ, วิกฤติทำให้คุณรู้ว่าอะไรดำเนินการได้ อะไรที่ดำเนินการไม่ได้, วิกฤติสำแดงให้คุณเห็นถึงรอยแยกแตกร้าว หรือ ความไม่ลงรอยในองค์กรของคุณ ที่มักมีส่วนเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้น, และจุดอ่อนองค์กรของคุณก็ไม่อยู่ห่างจากรอยแยกแตกร้าวในองค์กรเช่นกัน เมื่อคุณต้องเผชิญกับวิกฤติซึ่งหน้ามักทำให้คุณพบว่าคุณคือใครกันแน่ ถ้าคุณยอมเรียนรู้สัจจะจากวิกฤตินั้น คุณก็จะเรียนรู้มากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น และสามารถนำฝ่าทะลุวิกฤติต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาคุณและองค์กรได้

ในที่นี้คงต้องย้ำเตือนว่า เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติอย่าพยายามปกปิด ซ่อนเร้น หรือแม้แต่มองข้าม ทำเป็นมองไม่เห็นสัจจะที่มีอยู่ในวิกฤตินั้น แต่ก็เป็นความจริงด้วยว่า ในการที่คุณกำลัง “ปล้ำสู้” หรือ “คลุกตัว” อยู่ในวิกฤติอาจจะทำให้คุณมองไม่เห็นสัจจะความจริงจากวิกฤติด้วยเช่นกัน

วิกฤติทำให้ผู้คนหันหน้าเข้าหากัน

เป็นความจริงว่าวิกฤติอาจจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกแตกร้าวในองค์กร แต่จะไม่ค่อยเกิดขึ้นในคริสตจักรหรือในองค์กรคริสเตียนที่มีพันธกิจที่ชัดเจนและมีระบบคุณค่าที่หยั่งรากลึกลงในความเชื่อ โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ที่ตกอยู่ในวิกฤติจะสามารถรวบรวมร้อยรัดให้คนในองค์กรเช่นนี้รวมตัวกันให้เกิดพลังแห่งความร่วมมือใหม่ๆ และมีจุดร่วมที่เข้มแข็งมากขึ้น ท่ามกลางวิกฤติผู้คนในองค์กรเช่นนี้จะมุ่งมั่นตั้งใจแสวงหาแนวทางในการเผชิญหน้าต่อสู้กับวิกฤติตามที่พวกตนเชื่อมั่นศรัทธา เพราะเหตุนี้เองที่การมีพันธกิจและนิมิตที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้านิมิตพร่ามัว พันธกิจสับสนวิกฤติจะกลับกลายเป็นตัวสร้างความโกลาหลวุ่นวาย ผู้คนในองค์กรจะเกิดความกลัวลาน ปกป้องตนเอง และแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย คริสตจักร และ องค์กรที่รู้จักตนเองว่า ตั้งอยู่ไปทำไม ตั้งอยู่เพื่ออะไร และรู้ว่าตนมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางไหน ก็จะเกิดการมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเทแก้ไขวิกฤติที่ต้นเหตุมากกว่าเดิม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติ สมาชิกคริสตจักร คนทำงานในองค์กรคริสเตียนจะร่วมไม้ร่วมมือ จับมือกันอย่างแข็งแรงมั่นคงเพื่อหาทางแก้ไข พลิกผันวิกฤติที่เผชิญให้เป็นโอกาสที่สร้างสรรใหม่ขององค์กรคริสเตียน หรือ คริสตจักรของตน วิกฤติท้าทายและเรียกร้องให้คนในองค์กรขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อให้เกิดผลิตผลอย่างสร้างสรรค์ อาจจะต้องใช้เวลา น้ำอดน้ำทน และความทุ่มเท แต่คุ้มค่าที่จะฝ่าฟันผ่านทะลุวิกฤติที่พบ

วิกฤติให้โอกาสแก่คุณที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร หรือ คริสตจักรของคุณ

ไม่มีใครหรอกที่เลือกให้มีวิกฤติ แต่คุณใช้วิกฤติให้ก่อเกิดประโยชน์ได้ เหมือนสุขภาพของคนเรา บางคนที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากจากความเจ็บป่วยที่สาหัสหรือเรื้อรัง ที่ผลักดันให้เขาจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการกิน การอยู่ และการดำรงชีพ แน่นอนครับมันไม่สนุกเลย แต่มันจะช่วยรักษาปกป้องชีวิตของเขา ทำให้เขามีสุขภาพที่ปกติดีขึ้น แข็งแรงยิ่งขึ้น และอาจจะมีช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นอย่างมีคุณภาพ และนี่เป็นสัจจะความจริงสำหรับองค์กรคริสเตียน และ คริสตจักรด้วย

ตัวอย่างเช่น คริสตจักรที่ได้เอ่ยถึงข้างต้นที่เคยมีปัญหาศิษยาภิบาลมีกิ๊ก ต่อแต่นี้ไปชุมชนคริสตจักรนี้ก็จะมีความระมัดระวังให้มีความสัตย์ซื่อจริงใจในความสัมพันธ์มากยิ่งขึ้น เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้กับแต่ละคน ไม่เลือกว่าจะเป็นศิษยาภิบาลหรือไม่ และชุมชนคริสตจักรระมัดระวังอย่างจริงจังในเรื่องนี้ไม่ให้เกิดแก่คนใดคนหนึ่งอีก คริสตจักรคงต้องเอาใจใส่ที่ศิษยาภิบาลให้มีวันพักผ่อนและมีเวลาอยู่ร่วมกับครอบครัว สอดส่องดูแลเอาใจใส่เมื่อพบอาการบ่งเหตุต้องรีบหาทางช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขทันที สมาชิกยุคนี้ต้องอภิบาลศิษยาภิบาลครับ ลูกน้องต้องเอาใจใส่อภิบาลชีวิตผู้นำองค์กรคริสเตียนครับ

ส่วนเรื่องคริสตจักรที่งบประมาณหดหายเม็ดเงินไม่พอ ก็ต้องรู้เท่าทันถึงต้นสายปลายเหตุว่านั่นเป็นอาการของวิกฤติมิใช่สาเหตุของวิกฤติ คณะธรรมกิจคริสตจักร ศิษยาภิบาล ผู้อำนวยการองค์กร กรรมการอำนวยการอย่ารีบด่วนกระโจนลงไปลดเงินเดือน ลดคน ตัดกิจกรรม งดพันธกิจ แต่ให้มุ่งมองหาสัจจะที่ได้จากวิกฤติ และแก้ไขวิกฤติที่ต้นเหตุ อย่างกรณีคริสตจักรนี้ที่เป็นอุทาหรณ์ คงต้องใช้เวลาในการเยียวยาบาดแผลชีวิตในคริสตจักร และร่วมกันสร้างเสริมศรัทธาขึ้นใหม่ในชุนชนแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น