28 ตุลาคม 2554

หัวใจของผู้นำ

ดังนั้น พระองค์จึง...
ทรงลุกขึ้นจากโต๊ะเสวย
ถอดฉลองพระองค์ชั้นนอกออก
เอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์
...ทรงเทน้ำใส่อ่าง และ
...ล้างเท้าให้เหล่าสาวกของพระองค์ และ
เช็ดด้วยผ้าเช็ดตัวที่ทรงคาดเอวไว้

เมื่อทรงล้างเท้าพวกเขาเสร็จแล้วก็ทรงฉลองพระองค์ แล้วกลับไปประทับยังที่ของพระองค์ และตรัสถามเขาทั้งหลายว่า...
พวกท่านเข้าใจสิ่งที่ได้ทำให้พวกท่านหรือไม่
พวกท่านเรียกเราว่า “พระอาจารย์” และ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งถูกต้องแล้วเพราะเราเป็นเช่นนั้น
ในเมื่อเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเป็นพระอาจารย์ของท่าน ยังล้างเท้าให้พวกท่าน
พวกท่านก็ควรล้างเท้าให้กันและกันด้วย
เราได้วางแบบอย่างไว้ เพื่อพวกท่านจะทำเหมือนที่เราได้ทำเพื่อพวกท่าน...
ในเมื่อพวกท่านทราบสิ่งเหล่านี้ หากพวกท่านปฏิบัติตามพวกท่านก็จะเป็นสุข
(ยอห์น 13:4-5; 12-17 อมตธรรม)

บนเส้นทางชีวิตของพระเยซูคริสต์และสาวกของพระองค์เมื่อเดินจนถึงจุดนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดว่า ความเข้าใจเรื่อง “ความเป็นผู้นำ” ทั้งของพระองค์และสาวกยังมีความคิดความเข้าใจที่แตกต่างกัน ในขณะที่สาวกยังติดยึดความคิดการเป็นผู้นำที่จะต้องมี “ตำแหน่ง” และ “อำนาจ” เป็นการคิดเข้าใจบนรากฐานทางการเมืองและการเงิน แต่พระเยซูคริสต์พยายามสื่อเสริมสร้างความคิดความเข้าใจบนรากฐานใหม่ของพระองค์ว่าหัวใจของ “การเป็นผู้นำคือการรับใช้” ดังนั้น พระองค์จึงปฏิเสธที่จะใช้ “การเมือง” (อำนาจ) และ “การเงิน” เป็นวิธีการที่ได้มาซึ่งการเป็นผู้นำ พระองค์ปฏิเสธการใช้อำนาจและใช้เงินเพื่อเสริมสร้างบารมีการเป็นผู้นำของตน และพระองค์ประกาศและปฏิบัติเป็นแบบอย่างชัดแจ้งว่า รากฐานการเป็นผู้นำของพระองค์คือการรับใช้ เป็นทาสรับใช้

การเป็นผู้นำแบบพระเยซูคริสต์ มิได้ขึ้นอยู่กับการมีตำแหน่ง การมีอำนาจ การมีเงินทอง

เพราะถ้าการเป็นผู้นำเป็นเรื่อง “ตำแหน่ง” การเป็นผู้นำก็เป็นสิ่งที่คนหนึ่ง “หยิบยื่น” ให้กับอีกคนหนึ่งได้ และถ้าผู้นำขึ้นอยู่กับการมี “อำนาจ” การเป็นผู้นำก็เป็นเรื่องที่จะ “มอบหมาย” ให้แก่กันได้

แต่สำหรับพระคริสต์แล้ว การเป็นผู้นำแบบพระองค์มิใช่เป็นสิ่งที่จะ “หยิบยื่น” หรือ “มอบหมาย” (รวมถึงฉกฉวยเอา)ได้ เพราะหัวใจการเป็นผู้นำแบบพระคริสต์เป็นการรับใช้คนอื่น (ไม่ใช่รับใช้ตนเอง หรือ ผลประโยชน์แห่งตน) จึงอยู่ห่างจากการไขว่คว้าหาตำแหน่งและการแสวงหาเงินทอง และการเป็นผู้นำมิใช่เป็นเพียงเรื่องของคนที่มีทักษะ หรือ ภาวะผู้นำในตัวของคนๆ หนี่งเท่านั้น

แต่มาจากรากฐานของความสำนึกแห่งจิตวิญญาณของการรับใช้คนอื่น จากความสำนึกว่านี่คือการทรงเรียกของพระเจ้า และสำนึกอีกด้วยว่า การรับใช้ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นการรับใช้ตามที่พระเจ้าประสงค์ให้กระทำ

ดังนั้น การเป็นผู้นำจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากภายในรากฐานชีวิต มาจากจิตสำนึก จิตสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้า จิตที่ต้องการรับใช้อย่างสัตย์ซื่อต่อพระองค์ มิใช่ได้เป็นผู้นำเพราะกระแสอำนาจจากภายนอก

การเป็นผู้นำแบบผู้รับใช้ จึงเป็นเกราะป้องกัน และเป็นแนวทางที่จะหลีกเลี่ยงจากการเป็นผู้นำที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น การเป็นผู้นำที่ตักตวงผลประโยชน์เพื่อตนเอง และการเป็นผู้นำเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงบารมีแห่งตน(และพรรคพวก) ทั้งนี้เพราะการเป็นผู้นำแบบผู้รับใช้นั้นทุ่มเทกายใจชีวิตเพื่อสร้างเสริมสวัสดิภาพและสุขภาวะแก่ผู้อื่น มุ่งห่วงใยเอาใจใส่คนอื่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องการผู้นำที่ลงมือรับใช้อย่างสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง และความคิด

ทุกท่านย่อมเป็นผู้นำผู้รับใช้แบบพระคริสต์ได้ เพราะรากฐานแห่งพลังของการเป็นผู้นำแบบผู้รับใช้นี้มาจากความสำนึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเรียกแต่ละคนตามพระประสงค์ ตามของประทานที่ทรงใส่ลงในแต่ละชีวิตที่พระองค์ทรงเรียก และทรงเตรียมชีวิตของคนๆ นั้นให้พร้อมที่จะเป็นผู้นำแบบรับใช้ตามพระประสงค์

ยิ่งกว่านั้น พระเยซูคริสต์ตรัสกับเราในวันนี้ว่า

เราได้วางแบบอย่างไว้ เพื่อพวกท่านจะทำเหมือนที่เราได้ทำเพื่อพวกท่าน...

ในเมื่อพวกท่านทราบสิ่งเหล่านี้ หากพวกท่านปฏิบัติตามพวกท่านก็จะเป็นสุข

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น