21 พฤษภาคม 2556

“แสวงหาพระเจ้า” นั้นเป็นอย่างไรกันแน่?


ทำไมเราต้องแสวงหาพระเจ้า?

เพราะพระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้วหรือ?   หรือพระเจ้าไปซ่อนพระองค์เสียที่ไหน?   ไหนว่าพระเจ้าทรงติดตามแสวงหามนุษย์?   หรือเรากำลังเล่น ซ่อนหากับพระเจ้า?    ถ้าจะแสวงหาพระเจ้า  เราจะมีวิธีการอย่างไร?   ถามจริงๆ เถอะทำไมเราถึงต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยล่ะ?

การแสวงหาพระเจ้าคือการที่เราแสวงหาการทรงสถิตอยู่ของพระองค์   หรือ ในพระคัมภีร์กล่าวอีกนัยยะหนึ่งคือ การแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์   ด้วยการที่เราอยู่ในประสบการณ์ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ปกครอง   การแสวงหาพระเจ้าคือเวลาที่เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า   คือเวลาที่เราได้เข้าเฝ้าพระองค์   เป็นเวลาที่เราจะมีโอกาสเข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์   โดยคาดหวังว่า เราจะได้เรียนรู้จักพระองค์  และพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรา   เพื่อเราจะรู้ว่า ชีวิตที่พระเจ้าประทานและเป็นอยู่นี้พระองค์มีแผนการอย่างไรบ้าง  และแน่นอนครับ  เราต้องการได้รับพระพรและพระกำลังจากพระองค์

ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระเจ้า ทรงซ่อนพระพักตร์จากคนบางคนบางกลุ่ม   ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงออกห่างจากการทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของคนๆ นั้น   หรืออีกนัยหนึ่งเนื่องจากคนๆ นั้นเลือกที่จะอยู่ใต้การปกครองของอำนาจอื่นจึงเป็นการขับ หรือ ทำตัวแปลกแยกจากพระเจ้าในชีวิของเขาคนนั้น   เช่น 

เมื่อโยบชีวิตตกในความทุกข์สาหัสเพราะซาตานมีอำนาจเหนือชีวิตโยบในเวลานั้น   เขาร้องทูลว่า  ทำไมพระองค์ซ่อนพระพักตร์  และทรงถือว่าข้าพระองค์เป็นศัตรู? (โยบ 13:24 มตฐ)   ในพระธรรมสดุดี จะใช้ภาพการซ่อนพระพักตร์ของพระเจ้า  ที่บ่งชี้ถึงการที่พระเจ้าทรงลืม (13:1;  10:11; 44:24)   การซ่อนพระพักตร์เป็นการแสดงถึงการที่คนรับใช้ถูกผลักไสออกไป  หรือ เป็นการทรงกริ้ว  เป็นการถูกละทิ้งจากพระเจ้า (27:9)    สดุดีมองว่าการซ่อนพระพักตร์เป็นการที่พระเจ้าทรงลืมเรา (88:14)  การที่พระเจ้าซ่อนพระพักตร์จากเราเพราะเรากระทำบาป (51:9; มีคาห์ 3:4)     

แต่ในอีกมุมหนึ่ง  บางครั้งมนุษย์ก็ซ่อนตนเองจากพระพักตร์ของพระเจ้า   เมื่ออาดัมและเอวากระทำขัดขืนพระบัญชาของพระผู้สร้างกระทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำ   ซึ่งที่เกิดขึ้นคือ  พระเจ้าต้องตามหาทั้งสองคน   เพราะทั้งสองซ่อนตัวจากพระเจ้า   และเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าเขาเกิดความกลัว

มีผู้ถามว่า ในฐานะคริสตชนเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ตลอดเวลาหรือไม่?   คำตอบมีทั้งใช่ และ ไม่ใช่

ประการแรก  เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์สัพพัญญูญาณ ทรงสถิตได้ในทุกที่ทุกแห่งทุกสถานการณ์   ทุกสรรพชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์   พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระอำนาจและกำลังในการค้ำจุนและครอบครองทุกคนทุกสิ่ง

ประการที่สอง  ใช่แล้วที่พระองค์สถิตกับลูกของพระองค์เสมอ   พระองค์ทรงมีพันธสัมพันธ์กับพวกเราที่จะทรงกระทำสิ่งที่ดีในชีวิตลูกของพระองค์ทุกคน   “...นี่แนะเราจะอยู่กับพวกท่านเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)

แต่ก็มีความหมายว่าพระเจ้ามิได้อยู่กับเราเสมอไป   ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์ถึงเรียกเราให้ แสวงหาพระเจ้า...แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์เสมอ”   การสำแดงประจักษ์แจ้งของพระเจ้า  จิตสำนึก  และการไว้วางใจที่เรามีต่อการสำแดงของพระองค์มิได้ประจักษ์ในประสบการณ์ของเราตลอดเวลา    มีบางช่วงเวลาที่เราละเลย มิได้เอาใจใส่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  และไม่ได้คิดถึงพระองค์  แล้วมิได้ไว้วางใจในพระองค์   และเราประสบว่า พระองค์มิได้ สำแดงพระองค์ให้เราประจักษ์   ดังนั้น  เราจึงมิได้ประจักษ์รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ ความงาม และคุณค่าของพระองค์ในชีวิตของเรา

พระพักตร์ของพระองค์รังสีพระสิริแห่งพระลักษณะของพระองค์  จึงถูกซ่อนจากความปรารถนาที่เราอยากได้เห็นและสัมผัส   ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับการกระตุ้นให้ แสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ”   พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่ชื่นชมยินดีและมีสำนึกตลอดเวลาถึงความยิ่งใหญ่ในความงามและคุณค่าของพระองค์

การแสวงหาพระพักตร์พระเจ้าเสมอนั้น  มีความหมายเช่นไรในเชิงปฏิบัติ?

ทั้งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ กล่าวถึงการแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าคือการที่เราหยั่งรากความคิดและจิตใจของเราลงในพระเจ้า   เป็นการสำนึกเสมอ หรือ ให้ความนึกคิดจิตใจของเรามุ่งสนใจในการผูกพันกับพระเจ้า

บัดนี้จงตั้งจิตตั้งใจของเจ้าที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า...(1พศด. 22:19 มตฐ.)

1ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ คือประทับข้างขวาของพระเจ้า  2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก (โคโลสี 3:1-2)

การตั้งจิตตั้งใจแตกต่างจากการปล่อยใจและความคิดให้ไหลลื่นไปตามกระแสของสภาพแวดล้อม   แต่เป็นสำนึกที่นำจิตใจไปถึงพระเจ้า   และสิ่งนี้คือสิ่งที่เปาโลอธิษฐานเผื่อคริสตจักรว่า  ขอพระเป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าถึงความรักของพระเจ้า และถึงความมั่นคงของพระคริสต์” (2เธสะโลนิกา 3:5)   นี่เป็นส่วนที่เราต้องทุ่มเทพยายาม   แต่การทุ่มเทพยายามในการแสวงหาพระเจ้าเป็นของประทานจากพระองค์

การแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้ามิใช่เพราะพระเจ้า หายไปหรือ พระเจ้าหลงหายจากเรา”   อย่างที่เราแสวงหาเหรียญที่หาย  หรือ  แมวที่เราเลี้ยงหลงหายไป   แต่การที่เราแสวงหาพระเจ้าเพราะตัวเราเองหลงหายออกไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า   เราจะต้องกลับมา หรือ เราต้องแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์   ตามคำอุปมาของพระเยซู  เราเป็นบุตรคนเล็กที่เลือกทางละทิ้งพ่อไป  แล้วหลงหายจากพ่อ   ทางเดียวที่เขาทำได้คือ   เราต้องสำนึกและแสวงหาพ่อด้วยความตั้งใจและอย่างเต็มใจ

ฟ้าสวรรค์ประกาศถึงพระสิริของพระเจ้า   ดังนั้น  เราสามารถแสวงหาพระเจ้าผ่านการประกาศพระสิริของฟ้าสวรรค์และธรรมชาติพระเจ้ายังทรงเปิดเผยพระองค์ หรือ สำแดงพระองค์ผ่านพระวจนะของพระองค์   ดังนั้นเราสามารถแสวงหาพระองค์ผ่านพระวจนะนั้นพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่เราอย่างชัดแจ้งด้วยพระคุณผ่านคนอื่นรอบข้าง   ดังนั้นเราสามารถแสวงหาพระองค์ผ่านชีวิตคนรอบข้าง,   การแสวงหาพระเจ้าเป็นความสำนึกที่ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มกำลังของเราผ่านสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงใช้เป็นตัวกลางที่พระองค์ทรงสำแดงประจักษ์แก่เรา   การที่เราตั้งจิตทั้งสิ้นของเรามุ่งมั่นไปยังพระเจ้า   จะนำทั้งชีวิต ความคิด และจิตใจของเรามุ่งไปสู่พระเจ้า  คือการแสวงหาพระเจ้า

แต่ความจริงที่ปรากฏเสมอคือ มีอุปสรรคขวางกั้นการที่เราจะได้พบพระองค์อย่างชัดแจ้งเสมอ   แต่เราต้องมุ่งมั่นตั้งใจไม่ย่อท้อเพื่อเราจะได้อยู่ต่อหน้าแห่งแสงสว่างจากพระพักตร์ของพระองค์   เราจะต้องหลีกลี้หนีจากทุกสิ่งที่จะกระทำให้จิตวิญญาณของเรามัวหมองและมืดทึบ  

การแสวงหาพระเจ้ายังเกี่ยวข้องกับการที่เรารู้ว่าอะไรที่ทำให้เราสัมผัสและมีชีวิตชีวากับการสำแดงของพระเจ้าทั้งในโลก ชุมชน สังคม  และในพระวจนะของพระองค์   และในเวลาเดียวกันเราก็รู้ว่าอะไรที่ทำให้เราเฉื่อยชา  เบื่อหน่าย  และทำให้เราบอดมืดต่อการแสวงหาพระพักตร์พระเจ้า   เราต้องขจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากภายในชีวิตของเราถ้าเราประสงค์ที่จะพบและสัมผัสกับพระเจ้า

เมื่อเรามุ่งมั่นให้ความนึกคิดและจิตใจของเราสู่พระเจ้าผ่านประสบการณ์ด้านต่างๆ   เรายังสามารถที่จะร้องทูลขอต่อพระองค์   และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสวงหาพระเจ้า

จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” (อิสยาห์ 55:6 มตฐ)

การแสวงหาพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการร้องหา และ ร้องทูลต่อพระเจ้า   ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  โปรดเปิดตาของข้าพระองค์,   ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดเปิดม่านที่บังตาของข้าพระองค์จากการมองเห็นพระองค์   ข้าแต่พระเจ้า  โปรดเมตตาและทรงเปิดเผยพระองค์แก่ข้าพระองค์   ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์

อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ ที่ขัดขวางและทำให้การแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องสะดุดและล้มลงนั้นคือ ความหยิ่งยโส”   ด้วยความจองหองอวดดี   คนชั่วไม่แสวงหาพระเจ้า   ไม่เคยมีพระเจ้าในความคิดของพวกเขาเลย” (สดุดี 10:4 อมตธรรม)

พระเจ้าประทานสัญญาที่ยิ่งใหญ่สำคัญแก่ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าคือ   เขาจะได้พบพระองค์

“...จงรู้จักพระเจ้าบรรพบุรุษของเจ้า   จงปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดหัวใจและด้วยความเต็มใจ   เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิเคราะห์จิตใจทุกดวง   ทรงเข้าใจเจตนาและแรงจูงใจทุกอย่าง   หากเจ้าแสวงหาพระองค์ก็จะพบพระองค์   แต่หากเจ้าละทิ้งพระองค์  พระองค์ก็จะจะปฏิเสธเจ้าตลอดไป” (1พงศาวดาร 28:9 อมตธรรม)

จงแสวงหาพระเจ้า และพระกำลังของพระองค์
แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป” (สดุดี 105:4,  1971)


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น