ทำไมเราต้องแสวงหาพระเจ้า?
เพราะพระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้วหรือ? หรือพระเจ้าไปซ่อนพระองค์เสียที่ไหน? ไหนว่าพระเจ้าทรงติดตามแสวงหามนุษย์? หรือเรากำลังเล่น “ซ่อนหา” กับพระเจ้า? ถ้าจะแสวงหาพระเจ้า เราจะมีวิธีการอย่างไร? ถามจริงๆ
เถอะทำไมเราถึงต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยล่ะ?
การแสวงหาพระเจ้าคือการที่เราแสวงหาการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ หรือ ในพระคัมภีร์กล่าวอีกนัยยะหนึ่งคือ
การแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์
ด้วยการที่เราอยู่ในประสบการณ์ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ปกครอง
การแสวงหาพระเจ้าคือเวลาที่เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า คือเวลาที่เราได้เข้าเฝ้าพระองค์
เป็นเวลาที่เราจะมีโอกาสเข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ โดยคาดหวังว่า
เราจะได้เรียนรู้จักพระองค์
และพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรา
เพื่อเราจะรู้ว่า
ชีวิตที่พระเจ้าประทานและเป็นอยู่นี้พระองค์มีแผนการอย่างไรบ้าง และแน่นอนครับ
เราต้องการได้รับพระพรและพระกำลังจากพระองค์
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระเจ้า
“ทรงซ่อนพระพักตร์” จากคนบางคนบางกลุ่ม
ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงออกห่างจากการทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของคนๆ
นั้น หรืออีกนัยหนึ่งเนื่องจากคนๆ
นั้นเลือกที่จะอยู่ใต้การปกครองของอำนาจอื่นจึงเป็นการขับ หรือ
ทำตัวแปลกแยกจากพระเจ้าในชีวิของเขาคนนั้น
เช่น
เมื่อโยบชีวิตตกในความทุกข์สาหัสเพราะซาตานมีอำนาจเหนือชีวิตโยบในเวลานั้น เขาร้องทูลว่า “ทำไมพระองค์ซ่อนพระพักตร์ และทรงถือว่าข้าพระองค์เป็นศัตรู? (โยบ 13:24 มตฐ) ในพระธรรมสดุดี
จะใช้ภาพการซ่อนพระพักตร์ของพระเจ้า
ที่บ่งชี้ถึงการที่พระเจ้าทรงลืม (13:1;
10:11; 44:24) การซ่อนพระพักตร์เป็นการแสดงถึงการที่คนรับใช้ถูกผลักไสออกไป หรือ เป็นการทรงกริ้ว เป็นการถูกละทิ้งจากพระเจ้า (27:9) สดุดีมองว่าการซ่อนพระพักตร์เป็นการที่พระเจ้าทรงลืมเรา
(88:14) การที่พระเจ้าซ่อนพระพักตร์จากเราเพราะเรากระทำบาป
(51:9; มีคาห์ 3:4)
แต่ในอีกมุมหนึ่ง
บางครั้งมนุษย์ก็ซ่อนตนเองจากพระพักตร์ของพระเจ้า
เมื่ออาดัมและเอวากระทำขัดขืนพระบัญชาของพระผู้สร้างกระทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำ ซึ่งที่เกิดขึ้นคือ พระเจ้าต้องตามหาทั้งสองคน เพราะทั้งสองซ่อนตัวจากพระเจ้า
และเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าเขาเกิดความกลัว
มีผู้ถามว่า
ในฐานะคริสตชนเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ตลอดเวลาหรือไม่? คำตอบมีทั้งใช่ และ ไม่ใช่
ประการแรก เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์สัพพัญญูญาณ
ทรงสถิตได้ในทุกที่ทุกแห่งทุกสถานการณ์
ทุกสรรพชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระอำนาจและกำลังในการค้ำจุนและครอบครองทุกคนทุกสิ่ง
ประการที่สอง
ใช่แล้วที่พระองค์สถิตกับลูกของพระองค์เสมอ พระองค์ทรงมีพันธสัมพันธ์กับพวกเราที่จะทรงกระทำสิ่งที่ดีในชีวิตลูกของพระองค์ทุกคน “...นี่แนะเราจะอยู่กับพวกท่านเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค”
(มัทธิว 28:20)
แต่ก็มีความหมายว่าพระเจ้ามิได้อยู่กับเราเสมอไป ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์ถึงเรียกเราให้ “แสวงหาพระเจ้า...แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์เสมอ” การสำแดงประจักษ์แจ้งของพระเจ้า จิตสำนึก
และการไว้วางใจที่เรามีต่อการสำแดงของพระองค์มิได้ประจักษ์ในประสบการณ์ของเราตลอดเวลา มีบางช่วงเวลาที่เราละเลย
มิได้เอาใจใส่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้คิดถึงพระองค์
แล้วมิได้ไว้วางใจในพระองค์
และเราประสบว่า พระองค์มิได้ “สำแดงพระองค์” ให้เราประจักษ์ ดังนั้น เราจึงมิได้ประจักษ์รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่
ความงาม และคุณค่าของพระองค์ในชีวิตของเรา
“พระพักตร์ของพระองค์” รังสีพระสิริแห่งพระลักษณะของพระองค์
จึงถูกซ่อนจากความปรารถนาที่เราอยากได้เห็นและสัมผัส ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับการกระตุ้นให้ “แสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าเสมอ”
พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เรามีชีวิตที่ชื่นชมยินดีและมีสำนึกตลอดเวลาถึงความยิ่งใหญ่ในความงามและคุณค่าของพระองค์
การแสวงหาพระพักตร์พระเจ้าเสมอนั้น มีความหมายเช่นไรในเชิงปฏิบัติ?
ทั้งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่
กล่าวถึงการแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าคือการที่เราหยั่งรากความคิดและจิตใจของเราลงในพระเจ้า เป็นการสำนึกเสมอ หรือ
ให้ความนึกคิดจิตใจของเรามุ่งสนใจในการผูกพันกับพระเจ้า
บัดนี้จงตั้งจิตตั้งใจของเจ้าที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า...(1พศด. 22:19 มตฐ.)
1ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว
ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่
คือประทับข้างขวาของพระเจ้า 2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก (โคโลสี 3:1-2)
การตั้งจิตตั้งใจแตกต่างจากการปล่อยใจและความคิดให้ไหลลื่นไปตามกระแสของสภาพแวดล้อม แต่เป็นสำนึกที่นำจิตใจไปถึงพระเจ้า
และสิ่งนี้คือสิ่งที่เปาโลอธิษฐานเผื่อคริสตจักรว่า “ขอพระเป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าถึงความรักของพระเจ้า
และถึงความมั่นคงของพระคริสต์” (2เธสะโลนิกา 3:5) นี่เป็นส่วนที่เราต้องทุ่มเทพยายาม
แต่การทุ่มเทพยายามในการแสวงหาพระเจ้าเป็นของประทานจากพระองค์
การแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้ามิใช่เพราะพระเจ้า
“หายไป” หรือ “พระเจ้าหลงหายจากเรา” อย่างที่เราแสวงหาเหรียญที่หาย หรือ
แมวที่เราเลี้ยงหลงหายไป
แต่การที่เราแสวงหาพระเจ้าเพราะตัวเราเองหลงหายออกไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า เราจะต้องกลับมา หรือ
เราต้องแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์
ตามคำอุปมาของพระเยซู
เราเป็นบุตรคนเล็กที่เลือกทางละทิ้งพ่อไป
แล้วหลงหายจากพ่อ
ทางเดียวที่เขาทำได้คือ เราต้องสำนึกและแสวงหาพ่อด้วยความตั้งใจและอย่างเต็มใจ
ฟ้าสวรรค์ประกาศถึงพระสิริของพระเจ้า ดังนั้น
เราสามารถแสวงหาพระเจ้าผ่านการประกาศพระสิริของฟ้าสวรรค์และธรรมชาติ, พระเจ้ายังทรงเปิดเผยพระองค์
หรือ สำแดงพระองค์ผ่านพระวจนะของพระองค์
ดังนั้นเราสามารถแสวงหาพระองค์ผ่านพระวจนะนั้น, พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่เราอย่างชัดแจ้งด้วยพระคุณผ่านคนอื่นรอบข้าง
ดังนั้นเราสามารถแสวงหาพระองค์ผ่านชีวิตคนรอบข้าง, การแสวงหาพระเจ้าเป็นความสำนึกที่ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มกำลังของเราผ่านสิ่งต่างๆ
ที่พระเจ้าทรงใช้เป็นตัวกลางที่พระองค์ทรงสำแดงประจักษ์แก่เรา
การที่เราตั้งจิตทั้งสิ้นของเรามุ่งมั่นไปยังพระเจ้า จะนำทั้งชีวิต ความคิด
และจิตใจของเรามุ่งไปสู่พระเจ้า คือการแสวงหาพระเจ้า
แต่ความจริงที่ปรากฏเสมอคือ
มีอุปสรรคขวางกั้นการที่เราจะได้พบพระองค์อย่างชัดแจ้งเสมอ แต่เราต้องมุ่งมั่นตั้งใจไม่ย่อท้อเพื่อเราจะได้อยู่ต่อหน้าแห่งแสงสว่างจากพระพักตร์ของพระองค์
เราจะต้องหลีกลี้หนีจากทุกสิ่งที่จะกระทำให้จิตวิญญาณของเรามัวหมองและมืดทึบ
การแสวงหาพระเจ้ายังเกี่ยวข้องกับการที่เรารู้ว่าอะไรที่ทำให้เราสัมผัสและมีชีวิตชีวากับการสำแดงของพระเจ้าทั้งในโลก
ชุมชน สังคม และในพระวจนะของพระองค์
และในเวลาเดียวกันเราก็รู้ว่าอะไรที่ทำให้เราเฉื่อยชา เบื่อหน่าย
และทำให้เราบอดมืดต่อการแสวงหาพระพักตร์พระเจ้า
เราต้องขจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากภายในชีวิตของเราถ้าเราประสงค์ที่จะพบและสัมผัสกับพระเจ้า
เมื่อเรามุ่งมั่นให้ความนึกคิดและจิตใจของเราสู่พระเจ้าผ่านประสบการณ์ด้านต่างๆ เรายังสามารถที่จะร้องทูลขอต่อพระองค์ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสวงหาพระเจ้า
“จงแสวงหาพระเจ้า
เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์
ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” (อิสยาห์ 55:6 มตฐ)
การแสวงหาพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการร้องหา
และ ร้องทูลต่อพระเจ้า
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดเปิดตาของข้าพระองค์, ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดเปิดม่านที่บังตาของข้าพระองค์จากการมองเห็นพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า
โปรดเมตตาและทรงเปิดเผยพระองค์แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์
อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่
ที่ขัดขวางและทำให้การแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องสะดุดและล้มลงนั้นคือ “ความหยิ่งยโส” “ด้วยความจองหองอวดดี คนชั่วไม่แสวงหาพระเจ้า ไม่เคยมีพระเจ้าในความคิดของพวกเขาเลย”
(สดุดี 10:4 อมตธรรม)
พระเจ้าประทานสัญญาที่ยิ่งใหญ่สำคัญแก่ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าคือ เขาจะได้พบพระองค์
“...จงรู้จักพระเจ้าบรรพบุรุษของเจ้า
จงปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดหัวใจและด้วยความเต็มใจ
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิเคราะห์จิตใจทุกดวง ทรงเข้าใจเจตนาและแรงจูงใจทุกอย่าง หากเจ้าแสวงหาพระองค์ก็จะพบพระองค์ แต่หากเจ้าละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะจะปฏิเสธเจ้าตลอดไป” (1พงศาวดาร 28:9 อมตธรรม)
“จงแสวงหาพระเจ้า
และพระกำลังของพระองค์
แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป” (สดุดี 105:4, 1971)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น