สถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ย้ำเตือนความจริงว่า
เราไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้ แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้ว่าในสถานการณ์วิกฤติเช่นนั้นเราจะนำผู้คนให้ทะลุสถานการณ์นั้นอย่างอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร ท่ามกลางความยากลำบาก
สถานการณ์ที่มืดมิดเป็นช่วงเวลาที่ต้องการภาวะผู้นำมากที่สุด เช่น
กรณีที่เกิดการระเบิดครั้งร้ายแรงที่ใกล้เส้นชัยของการวิ่งมาราธอนที่เมืองบอสตัน
เป็นต้น
น้อยคนในพวกเราที่จะเคยมีประสบการณ์ในการนำผู้คนที่ตกในสถานการณ์วิกฤติรุนแรง หรือ
ผลที่ตามมาจากการเกิดวิกฤติครั้งใหญ่
แต่เราเกือบทุกคนคงเคยตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดของสถานการณ์วิกฤติในองค์กรที่เราทำงานด้วย
ในสถานการณ์ที่วิกฤติต้องการความสนใจและเอาใจใส่จากผู้คนในองค์กรนั้นอย่างรีบด่วนทันที แต่ก็เป็นการยากยิ่งในการที่จะตอบสนองต่อความทุกข์ร้อนที่เกิดจากความยากลำบากในสถานการณ์วิกฤตินั้น
แต่บทเรียนที่สำคัญที่ได้รับจากการนำในภาวะวิกฤติเช่นนั้นคือ ผู้คนและผู้นำในองค์กรที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤตินั้นต้องสงบเยือกเย็นและมีใจที่มั่นคงในขณะที่จะนำผู้คนให้ผ่านพ้นจากพายุแห่งชีวิตที่กำลังถาโถมอยู่นั้น
จอห์น ซี แม็กซ์แวลล์
ได้ให้หลักการพื้นฐาน 7
ประการในการนำท่ามกลางภาวะวิกฤติดังนี้
1. อะไรคือตัวปัญหาที่แท้จริง
Max De Pree ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
“ความรับผิดชอบประการแรกในการนำท่ามกลางภาวะวิกฤติคือ การแยกแยะให้รู้ว่าอะไรคือวิกฤติตัวจริงในสถานการณ์นั้น” ผู้นำต้อง
“เดินลุยลงไปในโคลนตมแห่งสถานการณ์วิกฤติ” นั้นด้วยตนเอง เพื่อที่จะรู้อย่างแท้จริงว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น
และ อะไรคือต้นเหตุ เงื่อนไข ของสถานการณ์วิกฤติ
ขอตั้งข้อสังเกตว่า ให้ผู้นำ “เดินลุยลงไปในโคลนตมแห่งสถานการณ์วิกฤติ” มิใช่ตั้งคณะกรรมการศึกษาหาความจริงเท่านั้น?
2. จัดการลงลึกถึงต้นเหตุและเงื่อนไขตัวจริงของวิกฤตินั้น
องค์กรที่ใหญ่รุ่มร่าม
และ องค์กรที่มีอายุยืนยาวมานานมักตอบสนองต่อสถานการณ์อย่าง “ยืดยาด”
เมื่อเกิดวิกฤติมักเริ่มต้นตอบสนองวิกฤติด้วยการตั้งคณะกรรมการศึกษาหาความจริงเพื่อมารายงานต่อคณะกรรมการบริหาร จากนั้นตั้งคณะกรรมการ หรือ
ผู้อำนวยการรักษาการ(ถ้าผู้อำนวยการต้องออกจากตำแหน่งในวิกฤตินั้น) ในช่วงเวลาที่ “เลวร้าย” เช่นนี้ จะไม่มีการตอบสนองแก้ไขต้นเหตุวิกฤติ เพราะผู้รักษาการจะทำหน้าที่ “หมอที่ดูแลคนไข้ไม่ให้ทรุด” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงไข้ ช่วงเวลา “รักษาการ” ยิ่งยาวนานแค่ไหน ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นแก่องค์กรมากแค่นั้น
เพราะไม่ได้ตอบสนองเพื่อการแก้ไขต้นตอวิกฤติทันท่วงที
ในภาวะวิกฤติองค์กรต้องการภาวะผู้นำที่จัดการลงลึกถึงต้นเหตุและเงื่อนไขตัวจริงของวิกฤตินั้น องค์กรต้องการผู้นำที่จัดการวิกฤติมากกว่า
“ควบคุมรักษาสถานการณ์วิกฤติ” หรือแย่กว่านั้น
“รักษาเก้าอี้ผู้นำเพื่อรอผู้นำคนใหม่?”
ถ้าอย่างนี้ สถานการณ์วิกฤติขององค์กรเพิ่มพูน องค์กรทรุดอาการร่อแร่แน่ไม่ต้องทำนาย
3. ให้ความมั่นใจ
ที่ที่ผู้นำจะใช้เป็นที่รับมือ
สะสาง จัดการกับสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นกับองค์กร มิใช่ในห้องทำงานของผู้นำ ไม่ใช่ในห้องบริหารจัดการองค์กร
ไม่ใช่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของผู้อำนวยการ
แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนในองค์กรที่กำลังตกในสถานการณ์วิกฤตินั้น ที่กำลังหวั่นใจ กลัว
ว้าวุ่นใจ
การปรากฏตัวของผู้นำต่อผู้คนในองค์กรในสถานการณ์วิกฤติเป็นการเสริมสร้างดลบันดาลให้ผู้คนเกิดความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจท่ามกลางวิกฤติกาล แน่นอนครับ
การทำเช่นนี้ของผู้นำเป็นการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก “เสียขวัญ” ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ และเราคงต้องยอมรับว่า
ในบางสถานการณ์วิกฤติเราไม่สามารถทำนายทายทักก่อนเพื่อที่จะสามารถเตรียมการป้องกันล่วงหน้า
แต่เมื่อเกิดวิกฤติเราจำเป็นต้องมีแผนการเร่งด่วนในการจัดการรับมือ และ
การบริหารจัดการเชิงรุกท่ามกลางสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่ บริหารจัดการแบบตั้งรับ
เพื่อรอรับจัดการตามสถานการณ์เกิดขึ้นเท่านั้น
4. ทำให้สถานการณ์วิกฤติกระจ่าง เข้าใจง่าย
ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ในสถานการณ์วิกฤติ
อารมณ์ของผู้คนในองค์กรร้อนแรง
วุ่นวาย
สับสนมากกว่าที่ควรจะเป็น
ในฐานะผู้นำขององค์กรจะต้องช่วยผู้คนในองค์กรสามารถมองและรับรู้สถานการณ์ขององค์กรบนฐานของความเป็นจริง
และตนเองก็ต้องไม่ตกหลุมพรางอารมณ์ในยามวิกฤติ แต่มีภาพของสถานการณ์ขององค์กรที่ชัดเจน เพื่อการตัดสินใจของตนจะชัดเจน
และสามารถอธิบายชี้แจงแก่ทีมงานเพื่อนำทีมงานเผชิญหน้าวิกฤติอย่างเป็นคนเดียวกัน
ผู้นำขององค์กรต้องสามารถแยกแยะให้ได้ว่าสถานการณ์อะไรบ้างที่เลวร้ายเกินกว่าที่ตนจะจัดการซ่อมแซมได้
และมีสถานการณ์อะไรบ้างที่อยู่ในความสามารถรับมือที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรไปข้างหน้าได้
ผู้นำต้องมีโอกาสที่จะพิจารณาและจัดการทำรายการว่า สิ่งที่ตนจะต้องให้ความสนใจสูงมีอะไรบ้าง แล้วประชุมกับทีมผู้นำหลักขององค์กร
เพื่อร่วมกันทุ่มเทปรับปรุงขับเคลื่อนรายการที่จะต้องให้ความสนใจสูงเหล่านั้น
การที่ผู้นำกำหนดประเด็นหลักๆ
ที่ต้องรีบขับเคลื่อนเป็นลายลักษณ์อักษรจะช่วยให้ภาพความคิดของผู้นำชัดเจนและเป็นระบบท่ามกลางสถานการณ์ที่สับสน และสามารถจับจุดประเด็นสำคัญๆ ท่ามกลางความโกลาหล
5. ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มต่างๆ ในองค์กรตามศักยภาพและความสามารถของกลุ่มเหล่านั้น
ในแต่ละองค์กร จะมีกลุ่มเล็กต่างๆ ของคนในองค์กรที่มีความสามารถเฉพาะของคนกลุ่มนั้นๆ ในฐานะผู้นำจะต้องมั่นใจว่าได้ร้องขอให้กลุ่มเหล่านั้นเข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการวิกฤติขององค์กรตามความสามารถเฉพาะ
หรือ พิเศษของกลุ่มนั้นๆ
ตามแผนการจัดการควบคุมสถานการณ์วิกฤติขององค์กร
6.
ตัดสินใจในการขับเคลื่อนจัดการวิกฤติทีละก้าว
ในสถานการณ์วิกฤติ เป็นสถานการณ์ที่ “ลื่นเละ” และ “พร่ามัว”
ด้วยเหตุนี้ การวางแผนที่ยาวไกลเกินไปมักพบกับความล้มเหลว
เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ร้อนเร็ว
เป็นการฉลาดกว่าถ้าจะให้ความสนใจกับประเด็นที่อยู่ใกล้ มุ่งมองทุ่มเทกับก้าวที่ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว รอให้ฝุ่นที่ตลบได้เบาบางเจือจางลง แล้วประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
7. ทำสิ่งที่ถูกต้อง
มิใช่ทำสิ่งที่ง่าย
ปัญหาที่ยุ่งยากน้อยนักที่จะสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ในการแก้ไขปัญหามิใช่ทำให้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น แต่การแก้ปัญหาจะต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ความยุติธรรม
คุณค่าของความเป็นคน ในฐานะคริสตชนการแก้ปัญหาขององค์กรต้องคำนึงถึงจริยธรรมขององค์กร
และ การแก้ปัญหาขององค์กรเป็นเรื่องที่สำคัญด้วย
ในฐานผู้นำคริสตชนจะไม่แก้ปัญหาองค์กรเพียงเพื่อไม่ให้องค์กรเสียผลประโยชน์หรือเพื่อได้ผลประโยชน์เท่านั้น แต่การแก้ปัญหาขององค์กรจะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี
คุณค่าของความเป็นคน
ไม่ว่าคนนั้นจะมีตำแหน่งไหนก็ตามในองค์กร
ผู้นำองค์กรจะไม่แก้วิกฤติองค์กรด้วยการโยกย้ายคนทำงานของคนอีกฝ่ายหนึ่งให้ออกจากตำแหน่งที่สำคัญ เพื่อเป็นการกด บีบ คนเหล่านั้น แต่การแก้ปัญหาในวิกฤติควรนำไปถึงการเสริมสร้าง
“ห่วงโซ่แห่งคุณค่า” ของผู้คนในองค์กร
ผู้มารับบริการ และ ผู้มีส่วนได้เสียขององค์กร
ที่สำคัญคือ
ผู้นำองค์กรที่จะกอบกู้สถานการณ์วิกฤติขององค์กรต้องรู้ตระหนักชัดเจนว่า
องค์กรที่ตนทำงานอยู่นี้ตั้งอยู่เพื่ออะไรกันแน่? เพราะถ้าไม่รู้ตระหนักชัด หรือ
รู้พลาดคลาดเคลื่อนแล้ว
ผู้นำองค์กรอาจจะนำองค์กรออกจากวิกฤติที่กำลังเผชิญหน้าไปสู่วิกฤติใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิมอีกก็ได้
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น