Keith Miller ได้เล่าเรื่องของผู้บริหารคนหนึ่งว่า
ครั้งหนึ่ง
ในการเฝ้าเดี่ยวตอนเช้าของเขา
เขาอธิษฐานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้มีคนเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของข้าพระองค์ในวันนี้” เมื่อเขาเงยหน้ามองไปที่นาฬิกาที่แขวนบนผนังห้อง เขารีบคว้าแก้วกาแฟดื่มอึกสุดท้าย แล้วรีบกระโดดขึ้นรถเพื่อไปที่สถานีรถไฟ เขาต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยวที่เขาจะโดยสารไปยังที่ทำงานของเขา
เขาไม่สามารถที่จะไปทำงานสายได้แม้เพียงอีกครั้งเดียว
เมื่อผู้บริหารคนนั้นกำลังยืนอยู่ที่ชานชาลาเขาเหลือบเห็นเด็กชายกำลังรอขึ้นรถไฟไปโรงเรียน มือทั้งสองข้างหอบหนังสือสมุด ปากกา
กระดาษ และกล่องอาหารกลางวัน
มันเป็นเช้าในชั่วโมงเร่งรีบและชานชาลาเนืองแน่นด้วยผู้โดยสาร
เมื่อรถไฟค่อยๆ เคลื่อนเทียบชานชาลา ผู้คนรีบเคลื่อนย้ายไปในช่องที่คาดว่าจะเป็นประตูของรถไฟ เมื่อรถไฟจอดผู้โดยสารจากในรถไฟรีบเร่งลงมาจากรถไฟมากมาย
เด็กนักเรียนคนนั้นถูกเบียดเซจนควบคุมตนเองไม่อยู่ สิ่งของที่เขาหอบอยู่ตกหล่นบนพื้น และถูกเท้าของใครต่อใครไม่ทราบเตะกระจายไปคนละทิศละทาง
ชายผู้บริหารคนนั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น เขาเองอยากจะช่วยเด็กนักเรียนคนนี้ แต่เขาต้องไม่พลาดรถไฟขบวนนี้
เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไปทำงานสายอีกครั้งหนึ่ง และเสี่ยงต่อการตกงานของเขา ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้น
เมื่อเขารีบเร่งเบียดเสียดพยายามที่จะขึ้นรถ คำอธิษฐานเมื่อเช้านี้ของเขากลับมาก้องในโสตประสาทของเขา
“องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดให้มีคนเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของข้าพระองค์ในวันนี้”
เกิดการต่อสู้กันในจิตใจของเขา เขากัดฟันตนเองดังกรอด แล้ววางกระเป๋าเอกสารของเขาลง
ก้มตัวลงบนพื้นช่วยเก็บของที่กระจัดกระจายของเด็กนักเรียน...ในขณะที่รถไฟที่เขาจะโดยสารค่อยๆ
เคลื่อนออกไปจากชานชะลา
เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองทุกอิริยาบถของชายคนนั้นอย่างเงียบๆ ผู้บริหารคนนั้นค่อยๆ เรียงหนังสือสมุดอย่างดีแล้ววางลงในอ้อมแขนของเด็กนักเรียน
ดวงตาของเด็กนักเรียนคนนั้นจ้องมองอย่างเบิกกว้าง พร้อมกับถามชายคนนั้นว่า “ท่านครับ
ท่านเป็นพระเยซูหรือครับ?”
ชายผู้บริหารที่รีบเร่งคนนั้น
ตอบคำถามนั้นภายหลังว่า “ใช่...ในเวลานั้นฉันเป็นพระเยซูคริสต์”
ในฐานะที่เราเป็นทูตของพระคริสต์ในทุกสิ่งที่เราเป็นและกระทำ แม้สิ่งนั้นจะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่เราก็ตาม
เราก็จะสำแดงให้เห็นถึงความรักเมตตาตามแบบอย่างพระคริสต์ เช่น
เมื่อพระองค์ยื่นมือสัมผัสคนโรคเรื้อนเพื่อให้พวกเขาได้หายสะอาดจากโรค ยิ่งกว่านั้น เพื่อพวกเขาต่างรอดพ้นจากการตีตราและการจำกัดสิทธิในความเป็นมนุษย์ในสังคม
และ ครอบครัว แต่พระองค์ยอมที่จะถูกพวกผู้นำศาสนายิวตราหน้าว่าพระองค์เป็นมลทินเพราะไปสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน
เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยเดินเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
เพื่อจะเรียกศักเคียสคนเก็บภาษีที่อยากมองเห็นพระเยซูให้ลงมาจากต้นไม้ แล้วพระองค์เสนอตัวเองไปบ้านของเขา จนเป็นที่โจษจันกล่าวร้ายจากผู้นำศาสนายิวว่าพระองค์ไปคบค้าหากินกับคนผิดคนบาป
เมื่อพระองค์เดินไปที่บ่อน้ำเพื่อหาโอกาสสนทนากับหญิงสะมาเรียที่คนยิวจะไม่ทำกัน
สร้างความแปลกใจแม้แต่แก่หญิงสะมาเรียคนนั้น
แต่การกระทำเช่นนี้เองพระองค์ช่วยใหญ่หญิงสะมาเรียพบตัวตนและคุณค่าในตนเองในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่งของพระเจ้า
เมื่อหญิงล่วงประเวณีคนหนึ่งที่พวกยิวจับได้และตั้งใจจะเอาหินขว้างให้ตาย
แต่พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องหญิงคนนั้นด้วยการไม่กล่าวโทษ แต่ในที่สุดชี้ว่า
ถ้าใครไม่เคยทำผิดก็ให้หยิบหินขว้างเธอก่อน
จนผู้คนเหล่านั้นต่างออกไปทีละคน
แต่พระเยซูคริสต์ตรัสบอกเธอว่า
พระองค์ก็จะไม่เอาผิดลงโทษนางเช่นกัน
แต่อย่ากลับไปทำบาปอีก
เมื่อพระองค์บอกกับโจรคนหนึ่งที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระองค์ว่า
วันนี้เขาจะได้อยู่กับพระองค์ในเมืองบรมสุขเกษม
เมื่อพระองค์พบกับเปโตรที่ปฏิเสธพระองค์ก่อนไก่ขันถึงสามครั้ง แต่พระองค์กลับมอบหมายให้เปโตร
เลี้ยงแกะของพระองค์
การสำแดงพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา
คือการสำแดงความรักเมตตาแบบพระคริสต์ผ่านการมองการรับรู้ การคิด การตัดสินใจ
และการกระทำของเราที่มุ่งเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่ผู้คนที่เราพบเห็น
ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องการเสริมเพิ่มพลังใจและความรักเมตตากรุณาเป็นสองคำในเรื่องเดียวกัน ในทั้งภาษากรีกและฮีบรู
คำว่าความรักเมตตากรุณา เป็นคำที่แสดงความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของชีวิตจิตใจแก่ผู้อื่น เป็น “ภาระหน้าที่อันสูงสุด” อย่างที่ วิลเลียม บาร์คเลย์ กล่าวว่า การหนุนเสริมเพิ่มพลังใจเป็นความรักเมตตากรุณาที่สำแดงออกมาเป็นรูปธรรม
ถ้าเราเปรียบเทียบกับการทำงานของแพทย์ ความรักเมตตากรุณานั้นเป็นการวินิจฉัยโรค ในขณะที่การหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิต คือกระบวนการเยียวยารักษารวมถึงการให้ยาของแพทย์
การหนุนเสริมเพิ่มพลังใจแก่คนอื่นนั้น
เป็นสิ่งที่เกิดจากก้นบึ้งแห่งชีวิตจิตใจของเรา ที่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ใช่วัฒนธรรมแบบหมูไปไก่มา แต่เป็นเส้นทางเดินทางเดียวคือ
“ให้” มิใช่เส้นทางเดินสองที่ให้เพราะ
“คาดหวังที่จะได้”
แต่ให้เพราะพระคริสต์ทรงให้
แล้วเราตั้งใจให้อย่างพระคริสต์
อีกสิ่งหนึ่งที่เราพึงตระหนักคือ นอกจากการให้จากชีวิตแล้ว เราต้องเตรียมตัวรับว่า เมื่อเราเสริมเพิ่มพลังใจพลังชีวิตแก่ผู้อื่น เรามักต้องประสบกับสภาพชีวิตที่ถูกตีตราและโดดเดี่ยว
17 ข้าแต่พระยาห์เวห์
พระองค์จะทรงฟังความปรารถนาของผู้ถูกข่มเหง
พระองค์จะทรงเสริมกำลังใจเขา
และจะเงี่ยพระกรรณฟัง (สดุดี 10)
26 ร่างกายและจิตใจของข้าพระองค์จะวายไป
แต่พระเจ้าทรงเป็นกำลังใจและเป็นมรดกส่วนของข้าพระองค์เป็นนิตย์
(สดุดี 73)
11 เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน
และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น
ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น (1เธสะโลนิกา 5)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น