15 พฤษภาคม 2556

เห็นพระเยซูในชีวิตของเรา


Keith Miller  ได้เล่าเรื่องของผู้บริหารคนหนึ่งว่า  

ครั้งหนึ่ง ในการเฝ้าเดี่ยวตอนเช้าของเขา  เขาอธิษฐานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า   ขอให้มีคนเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของข้าพระองค์ในวันนี้”   เมื่อเขาเงยหน้ามองไปที่นาฬิกาที่แขวนบนผนังห้อง   เขารีบคว้าแก้วกาแฟดื่มอึกสุดท้าย   แล้วรีบกระโดดขึ้นรถเพื่อไปที่สถานีรถไฟ   เขาต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยวที่เขาจะโดยสารไปยังที่ทำงานของเขา   เขาไม่สามารถที่จะไปทำงานสายได้แม้เพียงอีกครั้งเดียว

เมื่อผู้บริหารคนนั้นกำลังยืนอยู่ที่ชานชาลาเขาเหลือบเห็นเด็กชายกำลังรอขึ้นรถไฟไปโรงเรียน   มือทั้งสองข้างหอบหนังสือสมุด ปากกา กระดาษ  และกล่องอาหารกลางวัน

มันเป็นเช้าในชั่วโมงเร่งรีบและชานชาลาเนืองแน่นด้วยผู้โดยสาร

เมื่อรถไฟค่อยๆ เคลื่อนเทียบชานชาลา  ผู้คนรีบเคลื่อนย้ายไปในช่องที่คาดว่าจะเป็นประตูของรถไฟ   เมื่อรถไฟจอดผู้โดยสารจากในรถไฟรีบเร่งลงมาจากรถไฟมากมาย   เด็กนักเรียนคนนั้นถูกเบียดเซจนควบคุมตนเองไม่อยู่   สิ่งของที่เขาหอบอยู่ตกหล่นบนพื้น  และถูกเท้าของใครต่อใครไม่ทราบเตะกระจายไปคนละทิศละทาง

ชายผู้บริหารคนนั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น   เขาเองอยากจะช่วยเด็กนักเรียนคนนี้   แต่เขาต้องไม่พลาดรถไฟขบวนนี้   เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไปทำงานสายอีกครั้งหนึ่ง   และเสี่ยงต่อการตกงานของเขา   ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้น

เมื่อเขารีบเร่งเบียดเสียดพยายามที่จะขึ้นรถ   คำอธิษฐานเมื่อเช้านี้ของเขากลับมาก้องในโสตประสาทของเขา “องค์พระผู้เป็นเจ้า  โปรดให้มีคนเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของข้าพระองค์ในวันนี้”

เกิดการต่อสู้กันในจิตใจของเขา  เขากัดฟันตนเองดังกรอด  แล้ววางกระเป๋าเอกสารของเขาลง  ก้มตัวลงบนพื้นช่วยเก็บของที่กระจัดกระจายของเด็กนักเรียน...ในขณะที่รถไฟที่เขาจะโดยสารค่อยๆ เคลื่อนออกไปจากชานชะลา

เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ   มองทุกอิริยาบถของชายคนนั้นอย่างเงียบๆ   ผู้บริหารคนนั้นค่อยๆ เรียงหนังสือสมุดอย่างดีแล้ววางลงในอ้อมแขนของเด็กนักเรียน   ดวงตาของเด็กนักเรียนคนนั้นจ้องมองอย่างเบิกกว้าง   พร้อมกับถามชายคนนั้นว่า “ท่านครับ ท่านเป็นพระเยซูหรือครับ?”

ชายผู้บริหารที่รีบเร่งคนนั้น ตอบคำถามนั้นภายหลังว่า “ใช่...ในเวลานั้นฉันเป็นพระเยซูคริสต์”

ในฐานะที่เราเป็นทูตของพระคริสต์ในทุกสิ่งที่เราเป็นและกระทำ   แม้สิ่งนั้นจะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่เราก็ตาม  เราก็จะสำแดงให้เห็นถึงความรักเมตตาตามแบบอย่างพระคริสต์  เช่น

เมื่อพระองค์ยื่นมือสัมผัสคนโรคเรื้อนเพื่อให้พวกเขาได้หายสะอาดจากโรค   ยิ่งกว่านั้น เพื่อพวกเขาต่างรอดพ้นจากการตีตราและการจำกัดสิทธิในความเป็นมนุษย์ในสังคม และ ครอบครัว   แต่พระองค์ยอมที่จะถูกพวกผู้นำศาสนายิวตราหน้าว่าพระองค์เป็นมลทินเพราะไปสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน

เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยเดินเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง   เพื่อจะเรียกศักเคียสคนเก็บภาษีที่อยากมองเห็นพระเยซูให้ลงมาจากต้นไม้  แล้วพระองค์เสนอตัวเองไปบ้านของเขา   จนเป็นที่โจษจันกล่าวร้ายจากผู้นำศาสนายิวว่าพระองค์ไปคบค้าหากินกับคนผิดคนบาป

เมื่อพระองค์เดินไปที่บ่อน้ำเพื่อหาโอกาสสนทนากับหญิงสะมาเรียที่คนยิวจะไม่ทำกัน   สร้างความแปลกใจแม้แต่แก่หญิงสะมาเรียคนนั้น   แต่การกระทำเช่นนี้เองพระองค์ช่วยใหญ่หญิงสะมาเรียพบตัวตนและคุณค่าในตนเองในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่งของพระเจ้า

เมื่อหญิงล่วงประเวณีคนหนึ่งที่พวกยิวจับได้และตั้งใจจะเอาหินขว้างให้ตาย   แต่พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องหญิงคนนั้นด้วยการไม่กล่าวโทษ   แต่ในที่สุดชี้ว่า ถ้าใครไม่เคยทำผิดก็ให้หยิบหินขว้างเธอก่อน   จนผู้คนเหล่านั้นต่างออกไปทีละคน   แต่พระเยซูคริสต์ตรัสบอกเธอว่า   พระองค์ก็จะไม่เอาผิดลงโทษนางเช่นกัน   แต่อย่ากลับไปทำบาปอีก

เมื่อพระองค์บอกกับโจรคนหนึ่งที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระองค์ว่า   วันนี้เขาจะได้อยู่กับพระองค์ในเมืองบรมสุขเกษม

เมื่อพระองค์พบกับเปโตรที่ปฏิเสธพระองค์ก่อนไก่ขันถึงสามครั้ง   แต่พระองค์กลับมอบหมายให้เปโตร เลี้ยงแกะของพระองค์

การสำแดงพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา  คือการสำแดงความรักเมตตาแบบพระคริสต์ผ่านการมองการรับรู้  การคิด การตัดสินใจ  และการกระทำของเราที่มุ่งเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่ผู้คนที่เราพบเห็น

ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องการเสริมเพิ่มพลังใจและความรักเมตตากรุณาเป็นสองคำในเรื่องเดียวกัน   ในทั้งภาษากรีกและฮีบรู คำว่าความรักเมตตากรุณา เป็นคำที่แสดงความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของชีวิตจิตใจแก่ผู้อื่น   เป็น “ภาระหน้าที่อันสูงสุด”   อย่างที่ วิลเลียม บาร์คเลย์ กล่าวว่า  การหนุนเสริมเพิ่มพลังใจเป็นความรักเมตตากรุณาที่สำแดงออกมาเป็นรูปธรรม 

ถ้าเราเปรียบเทียบกับการทำงานของแพทย์   ความรักเมตตากรุณานั้นเป็นการวินิจฉัยโรค  ในขณะที่การหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิต  คือกระบวนการเยียวยารักษารวมถึงการให้ยาของแพทย์

การหนุนเสริมเพิ่มพลังใจแก่คนอื่นนั้น   เป็นสิ่งที่เกิดจากก้นบึ้งแห่งชีวิตจิตใจของเรา   ที่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน   ไม่ใช่วัฒนธรรมแบบหมูไปไก่มา    แต่เป็นเส้นทางเดินทางเดียวคือ “ให้”  มิใช่เส้นทางเดินสองที่ให้เพราะ “คาดหวังที่จะได้”   แต่ให้เพราะพระคริสต์ทรงให้   แล้วเราตั้งใจให้อย่างพระคริสต์

อีกสิ่งหนึ่งที่เราพึงตระหนักคือ   นอกจากการให้จากชีวิตแล้ว   เราต้องเตรียมตัวรับว่า  เมื่อเราเสริมเพิ่มพลังใจพลังชีวิตแก่ผู้อื่น   เรามักต้องประสบกับสภาพชีวิตที่ถูกตีตราและโดดเดี่ยว

17 ข้า​แต่​พระ​ยาห์​เวห์ พระ​องค์​จะ​ทรง​ฟัง​ความ​ปรารถนา​ของ​ผู้​ถูก​ข่ม​เหง
พระ​องค์​จะ​ทรง​เสริม​กำ​ลัง​ใจ​เขา และ​จะ​เงี่ย​พระ​กรรณ​ฟัง  (สดุดี 10)
26 ร่าง​กาย​และ​จิต​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​จะ​วาย​ไป
แต่​พระ​เจ้า​ทรง​เป็น​กำลัง​ใจ​และ​เป็น​มรดก​ส่วน​ของ​ข้า​พระ​องค์​เป็น​นิตย์ (สดุดี 73)
11 เพราะ​ฉะ​นั้น​จง​หนุน​ใจ​กัน และ​ต่าง​คน​ต่าง​จง​เสริม​สร้าง​กัน​ขึ้น
ตาม​อย่าง​ที่​พวก​ท่าน​กำ​ลัง​ทำ​อยู่​นั้น  (1เธสะโลนิกา 5)


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น