เมื่อมองเรื่องผู้นำองค์กร หน่วยงาน
สถาบันภายใต้สภาคริสตจักร และ
สหกิจคริสเตียนแล้วเราพบความจริงประการหนึ่งคือ
ผู้นำแต่ละคนในปัจจุบันต่างมุ่งมั่นทุ่มเทบริหารจัดการอย่างเต็มกำลังของตนเอง เพื่อตนจะมีผลงานที่โดดเด่นและน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง
เพื่อผู้คนจะเรียกและเลือกใช้ต่อไปในระดับที่สูงขึ้นไป
แต่ผู้นำที่เรามีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีการทุ่มเทและตั้งใจ
“ที่จำกัด”
ในการสร้างคนในทีมและคนรอบข้างให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานนำในระดับต่างๆ ในที่นี้รวมถึงศิษยาภิบาลด้วยครับ ศิษยาภิบาลหลายท่านสบายใจที่จะลงมือทำเองจนงานสำเร็จ แต่ขาดการพยายามเสริมสร้างผู้คนสมาชิกรอบข้างให้มีภาวะผู้นำในพันธกิจการรับใช้ บ้างก็ตกในภาวะไม่รู้จะสร้างใคร
หรือ สร้างคนอื่นให้เป็นผู้นำอย่างไร
ผู้นำของเราขาดการทุ่มเทสร้างคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำขององค์กรครับ!
จนมีคนกล่าวเปรยว่า “นี่แกตั้งใจจะตายคาเขียงเลยหรือนี่?”
เป็นการดีที่เรามีผู้นำที่สร้างผลงานได้ แต่เราต้องการมากกว่านั้นครับ
เราต้องการผู้นำที่มีน้ำใจ ตั้งใจ
ทุ่มเท อุทิศตน และมีความสามารถในการสร้างคนอื่นในองค์กรให้เป็นผู้นำครับ!
จอห์น แม็กซ์แวลล์ ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The 15 Invaluable Laws of Growth ว่า นอกจากตัวท่านเกิดการพัฒนาตนเองแล้ว ยังทำให้ท่านเป็นผู้ที่สามารถที่จะช่วยผู้อื่นให้เติบโตเป็นผู้นำได้ด้วย ท่านกล่าวอีกว่า การที่ท่านได้รับความมั่นใจในการพัฒนาเติบโตในชีวิตจนเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เสริมหนุนให้ท่านเริ่มที่จะช่วยพัฒนาคนอื่น และด้วยการกระทำเช่นนี้นี่เองที่ท่านพบกับความชื่นชมยินดีในชีวิตที่ใหญ่ยิ่ง
และ เป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับชีวิตของท่าน
จากประสบการณ์การทำงานในชีวิตของท่าน ทำให้ท่านเชื่ออย่างมั่นใจว่า สิ่งที่ทำให้เราในฐานะผู้นำพึงพอใจอย่างมากเมื่อเราได้เห็นผลที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนที่เราทุ่มเทหนุนเสริมให้เขาพัฒนาขึ้นเป็นผู้นำ ท่านอธิบายว่า การที่เรามีประสบการณ์ชีวิตที่เติบโตและเข้มแข็งขึ้น ทำให้เราสามารถที่จะหนุนเสริมช่วยคนอื่นให้เติบโตขึ้นในชีวิตของเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าท่านจะให้ความรู้และฝึกทักษะแก่ผู้คนรอบข้างด้วยใจกว้างขวางแล้ว
ท่านยังต้องทุ่มเทตั้งใจในการเสริมเพิ่มคุณค่าในผู้คนเหล่านั้น จอห์นได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
การที่เราจะหนุนเสริมเพิ่มพลังอย่างสร้างสรรค์ในคนอื่นรอบข้างเราได้นั้น ขึ้นอยู่กับมุมมอง
กรอบคิดของเราในการที่จะมีชีวิตเพื่อผู้อื่น
ต่อไปนี้ เป็นมุมมองและกรอบคิด 7 ประการ ที่เราจะอุทิศมุ่งมั่นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำแก่คนรอบข้างให้เติบโตขึ้นก้าวสู่การเป็นผู้นำต่อไปดังนี้
1. ซาบซึ้งในพระคุณ
การที่คนๆ หนึ่งสามารถพัฒนาและเติบโตเป็นผู้นำขึ้นมาได้ มิได้เป็นเพราะคนๆ นั้นมีความสามารถจนทำตน หรือ
“ถีบตนเอง” ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยความสามารถของเขาเองเท่านั้น
แต่การที่คนนั้นเติบโตจนขึ้นมาเป็นผู้นำได้นั้นเพราะเขาได้รับการบ่มเพาะ
เสริมสร้าง จากคนรอบข้างในชีวิตของเขา
ในความเชื่อของคริสตชน เรามองว่านี่เป็น “พระคุณของพระเจ้า”
พระคุณที่พระเจ้าทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่คนๆ นั้นให้เติบโตขึ้น
เป็นพระคุณที่พระเจ้าทรงใช้คนอื่นหนุนเสริมและพัฒนาเขาให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ
เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงไว้วางใจเรียกเขาให้เป็นผู้นำ เป็นพระคุณของพระเจ้าที่แม้คนๆ นั้นเคยล้มเหลวในงานที่ทรงมอบหมาย แต่พระองค์ยังให้โอกาสใหม่ และเอาใจใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่องค์กร ชุมชนไว้วางใจเขาให้นำ และตั้งใจที่จะหนุนเนื่องการนำของเขา
แต่มีผู้นำของเราสักกี่คนหนอ
ที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้า และ บุญคุณของชุมชนและองค์กร!
การที่ผู้นำคนใดจะมีใจสร้างคนอื่นให้เป็นผู้นำ
ผู้นั้นต้องสำนึกในพระคุณประการข้างต้น
เรามักได้ยินได้เห็นผู้นำของเราภาคภูมิใจในความสามารถของเขาเอง เขาพูดแต่ความสำเร็จของเขา เขาสนใจแต่ตัวเขาเอง เขาไม่เห็นพระคุณของพระเจ้า และบุญคุณของผู้คนรอบข้างเขา เขาตั้งหน้าตั้งตาใช้คนรอบข้างเป็น “เบี้ย”
ที่จะเดินเกมบริหารงานของเขา
เพื่อบรรลุผลประโยชน์ส่วนตนให้ได้สูงสุด
เรามีผู้นำแบบนี้มากมายในองค์กรของเรา
เขาจะไม่สร้างคนรอบข้างให้พัฒนาขึ้นมานำองค์กรของเขาในระดับต่างๆ ครับ เพราะเขามองว่า คนพวกนี้ไม่มีความสามารถ มือไม่ถึง
คิดผิดพลาด(จากแนวคิดของเขาเอง) ผู้นำประเภทนี้นอกจากไม่สำนึกในพระคุณแล้ว เขายังไม่ไว้วางใจคนรอบข้างด้วย
เพราะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ใครเก่งแซงหน้าขึ้นมายึดตำแหน่งและอำนาจของตน
เมื่อผู้นำไม่ไว้วางใจคนอื่นเช่นนี้แล้ว
เขาจะสนใจเสริมสร้างพัฒนาคนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างไร?
2. คนมาก่อนสิ่งอื่นใด
ผู้นำในองค์กร
สถาบันของเราทุกคนต่างให้คุณค่าของคนมาก่อนสิ่งอื่นใดครับ
แต่คนที่ว่านี้มีเพียงคนเดียวที่มาก่อนสิ่งอื่นใด ตัวเขาเองยังไงครับ!
จอห์น กล่าวจากประสบการณ์ของท่านว่า
ถ้าเราให้คุณค่าแก่คนในองค์กรของเราเหนือสิ่งอื่นใด
เราก็จะเสริมสร้างทุ่มเทชีวิตแก่คนเหล่านั้น และสร้างเขาก้าวขึ้นมา
และคนเหล่านี้ก็จะสร้างเสริมพัฒนาคนอื่นในทีมงานของเขาให้เกิดการพัฒนาเป็นผู้ที่มีความสามารถมากขึ้นเป็นวงจรลูกโซ่ จนกระทั่งผู้นำคนนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว วงจรนี้ยังขับเคลื่อนต่อไป
รับประกันว่า วงจรนี้ไม่ตายคาเขียงครับ!
เมื่อผู้นำคิดถึงความสำเร็จในชีวิต ผู้นำระลึกถึงอะไร? ผู้นำคนนั้นคิดถึงคนเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความสำเร็จและชัยชนะดังกล่าวหรือไม่? แท้จริงแล้วผู้คนรอบข้างมีส่วนอย่างมหาศาลในชีวิตการงานของเราในฐานะผู้นำ และการกระทำของผู้นำก็สร้างผลกระทบกับผู้คนมากมายด้วยเช่นกัน ด้วยการเสริมสร้างผู้คนในทีมงานในองค์กรของเราเป็นประการแรกสุด นั่นแสดงออกมาชัดเจนว่า เราเห็นคุณค่าของผู้คนในทีมงานในองค์กรของเรา
และต้องการเสริมหนุนให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับคุณค่าที่เติบโตขึ้นในการทำงานและในความเป็นคน
3. อย่าตกเป็นคนของใครในองค์กร
เป็นการยากที่ท่านจะให้ตนเองกับคนในทีมงานและองค์กร ถ้าตัวท่านเองตกเป็นคนของคนใดคนหนึ่ง หรือ
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (เช่น พรรค หรือ พวก)
ผู้นำจะต้องเป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับทุกคนในองค์กร โดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใดๆ
ถึงแม้เราจะได้ประโยชน์จากผู้อื่นตลอด
แต่ต้องไม่ทำให้เราตกเป็นหนี้(บุญคุณ)ในประโยชน์ที่เราได้รับนั้น เมื่อเราตกเป็นคนของใครคนใดคนหนึ่ง เราหมดโอกาสที่จะให้สิ่งที่เราปรารถนาและสิ่งที่ต้องการให้แก่ผู้อื่น
ในฐานะผู้นำเราต้องมีอิสระในการให้แก่ผู้คนในเวลาที่เราเห็นว่าจำเป็นและเหมาะสม
4. มองความสำเร็จที่ “การหว่าน” มิใช่ที่ “การเกี่ยว”
ถ้าท่านตั้งใจที่จะสร้างสิ่งที่แตกต่างในชีวิตของผู้คน ชีวิตของท่านต้องเต็มเปี่ยม มิใช่ว่างเปล่า!
บ่อยครั้งนัก ที่ผู้คนหว่านพืชเพื่อหวังผลอย่างรวดเร็ว
แล้วก็จะเกิดความสิ้นหวังท้อแท้ใจเมื่อผลไม่เกิดอย่างคาดคิด แต่เมื่อใดที่ผู้นำหว่าน เขาต้องเตรียมพร้อมที่จะรอคอยการเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม ในเวลาของการรอคอยนั้นให้ผู้นำถอยสักก้าวแล้วตรวจสอบถึงผลกระทบมากมายที่ผู้นำมีต่อผู้อื่นในชีวิต และนั่นคือเหตุผลที่แท้จริงในชีวิตความสำเร็จของผู้นำ
5. มุ่งมองที่การพัฒนาตนเอง มิใช่ความสำเร็จในตนเอง
ความสำเร็จในตนเอง
คือการที่เราทำในสิ่งที่เราชอบและสนุก
และจะได้รับผลที่ทำลงไป
ในขณะที่การพัฒนาตนเองหมายถึงการกระทำใดๆ
ที่ตนใช้ทักษะความสามารถที่ตนมีอยู่ในตัว
และงานที่ทำสอดคล้องกับทักษะความสามารถที่ตนมี และเป็นการกระทำด้วยความรับผิดชอบ
ในการที่ผู้นำมุ่งมองไปที่การพัฒนาตนเอง
เราได้ทำให้ผู้อื่นได้เห็นแจ้งชัดถึงการเติบโตขึ้นในตัวเรา
และนี่คือประตูที่เปิดออกให้เราสามารถช่วยคนอื่นให้เติบโตขึ้นด้วย จงฉวยทุกโอกาสในการพัฒนาตนเอง
6. เติบโตอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเป็นผู้ให้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำหย่อนยานการเรียนรู้และถดถอยการเติบโตอย่างสร้างสรรค์ เมื่อนั้นเวลาโอกาสและสิ่งที่เขาจะให้แก่ผู้อื่นก็จะลดน้อยถอยลงด้วย จนในที่สุดเขาไม่มีอะไรที่จะให้คนอื่นได้
เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำเกิดผลน้อยย่อมสร้างความไม่พึงพอใจ ผู้นำจะต้องทำให้เกิดผล หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่เกิดการสูญเสีย
หรือไม่เกิดการเสียหาย
ผู้นำที่ตามขึ้นมาจะเรียนรู้จากผู้ที่นำเขาอย่างดี ภาวะผู้นำก็จะเกิดการเติบโตอย่างตั้งใจ
7. เป็นผู้นำที่นับพระพร ด้วยการสำนึกในพระคุณ
การเป็นผู้นำคริสตชน เริ่มต้นด้วยพระคุณ และ ลงท้ายด้วยพระคุณ
เมื่อถึงการสิ้นสุดในแต่ละวัน
ผมขอเสนอให้ผู้นำมีเวลาที่จะนับพระพรต่อพระพักตร์พระเจ้า พระพรที่ทรงประทานตรงมาจากพระองค์ พระพรที่พระองค์ประทานผ่านเจ้านาย หัวหน้า
หรือผู้นำของเรา
พระพรที่พระเจ้าประทานผ่านเพื่อนฝูงรอบข้าง และ ครอบครัว
พระพรที่ทรงประทานผ่านลูกน้องเพื่อนร่วมงานของเรา พระพรของพระเจ้าทรงสำแดงผ่านทางลูกค้า ผู้รับบริการ
จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระพรเหล่านี้ด้วยจิตใจที่โมทนาและสำนึกในพระคุณ
และรู้สึกขอบคุณผู้คนเหล่านั้นที่มีส่วนในการเป็นผู้นำของเราในวันนี้
ในเวลาเดียวกัน ให้สำรวจตรวจสอบว่า ในวันนี้ผู้นำได้นำเอาพระพรต่างๆ ที่ตนได้รับ หว่าน
บ่มเพาะ ฟูมฟัก และ หนุนเสริมคนรอบข้างให้เติบโตขึ้นในภาวะผู้นำ และมีการหนุนเสริม บ่มเพาะประการใดบ้างที่เป็นการเสริมสร้างผู้คนสู่การมีโอกาสที่จะนำองค์กรของเรารุดหน้าไปไกลกว่าตนเองในอนาคต
โดยภาพรวมแล้ว เราควรประยุกต์ทั้ง 7
ประการนี้ในชีวิตประจำวันของเราเพื่อที่เราจะเติบโตขึ้น
เพื่อเราจะสามารถหว่านเมล็ดความเติบโตในชีวิตของผู้อื่นได้
จงใช้ทั้งชีวิตของเราให้เกิดผลที่ดีที่สุด เพื่อเป็นผู้นำที่ใช้การเติบโตและความสำเร็จของตนในการเสริมสร้างคนอื่นอย่างอุทิศทุ่มเท
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น