08 พฤษภาคม 2556

ความจำเป็น และ ความอยาก


ในชีวิตประจำวันของเราท่านต้องตอบสนองต่อ “ความจำเป็น” และ “ความอยากของเรา”

นอกจากที่สองประการนี้ยากลำบากสำหรับหลายคนที่จะแยกแยะให้ชัดเจนสำหรับตนแล้ว

เราเคยถามตนเองไหมว่า การสำนึกได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ “จำเป็น” ของเรา หรือ “ความอยาก” ของเรานั้นเกิดขึ้นในห้วงความนึกคิดของเราอย่างไร  มาจากที่ไหน?

จากปฐมกาล 2:19  บันทึกไว้ว่า
“พระยาเวห์พระเจ้าทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และ นกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน
 เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตอย่างไร  สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น...” (ฉบับมาตรฐาน)

อ่านพระธรรมข้อนี้แล้วผมเกิดคำถามขึ้นในใจครับ

พระเจ้าทรงสร้างสิ่งสารพัดทั้งสัตว์บก และ นกในอากาศ   แล้วทำไมจะต้องให้อาดัมมาตั้งชื่อสัตว์ที่ทรงสร้างเหล่านี้ล่ะ?    พระองค์ไม่สามารถที่จะตั้งชื่อเช่นนั้นหรือ?   ไม่น่าจะใช่ครับ?  

ถ้าเช่นนี้นั้นทำไมพระเจ้าถึงให้อาดัมตั้งชื่อสัตว์แต่ละชนิดล่ะ?

และแน่นอนครับ   พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทั้งหลายให้เป็นเพศผู้และเพศแม่   และนำสัตว์เหล่านี้มาให้อาดัมตั้งชื่อ   และเมื่ออาดัมตั้งชื่อสัตว์เหล่านี้แล้ว   พระคัมภีร์ต่อจากข้อนี้บันทึกต่อไปว่า 

“...แต่ชายคนนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมสำหรับเขา” (ข้อ 21 ฉบับมาตรฐาน)

เมื่ออาดัมตั้งชื่อสัตว์ตามพระบัญชาของพระเจ้าแล้ว   สิ่งที่เขาพบและสำนึกขึ้นมาได้คือ เขายังไม่มีคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมสำหรับตน   อย่างที่สัตว์เหล่านั้นที่ตนได้ตั้งชื่อ ที่มี “คู่ผัวตัวเมีย” เป็นคู่อุปถัมภ์ในชีวิต

พระเจ้าทรงกระตุ้นทรงกระทำให้อาดัมสำนึกถึง “สิ่งที่จำเป็น” ในชีวิตของตน!

จากนั้น   พระองค์ทรงประทาน “คู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสม” ตามกระบวนการวิธีการของพระองค์แก่อาดัม

ในแต่ละวัน  เมื่อเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า   พระองค์ทรงกระตุ้นและทำให้เราตระหนักและสำนึกชัดเจนว่า  อะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นชีวิตของเรา   นอกจากนั้นแล้ว  พระเจ้ายังทรงเอาพระทัยใส่ต่อสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของเราด้วย

เมื่อมาถึงตอนนี้  เราท่านบางคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า   แล้ว “ความอยาก” ในความนึกคิดของเรามาจากไหน?   มาจากการกระตุ้นของพระเจ้าด้วยหรือไม่?

ในพระธรรมปฐมกาลบทต่อไปเขียนไว้ว่า
“งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าสัตว์ป่าทั้งหลาย...มันมาถามหญิงนั้นว่า...
พระเจ้าตรัสจริงๆ หรือว่า   เจ้าต้องไม่กินจากผลใดๆ ในสวนนี้?  หญิงนั้นตอบงูว่า
พวกเรากินผลของทุกต้นในสวนได้  แต่พระเจ้าตรัสจริงๆ ว่า เจ้าต้องไม่กินผลของต้นไม้กลางสวน   และเจ้าต้องไม่แตะต้องมัน   มิฉะนั้นเจ้าจะตาย  งูบอกหญิงนั้นว่า
เจ้าจะไม่ตายแน่นอน   เพราะพระเจ้าทราบว่า  เมื่อใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะตาสว่างขึ้นและจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ผิดชอบชั่วดี (3:1-3 อมตธรรม)


กระบวนกระตุ้นความอยาก  คำถามที่ถามด้วยเล่ห์เหลี่ยม   คำถามที่ถามเกินเลยจากความเป็นจริง   คำถามที่พยายามหลอกล่อให้ผู้ต้องตอบหลงทาง   มิใช่คำถามที่กระตุ้นให้สำนึกถึงสัจจะความจริงในชีวิต   แต่เป็นคำถามที่หลอกล่อด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่ทำให้ “อยากได้ใคร่มี”  และเป็นการอยากได้ใคร่มี ใคร่เป็นผู้ที่ “ยิ่งใหญ่ สำคัญ  และอยู่เหนือผู้อื่น”   มิใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต   แต่ใจมันถูกยุยั่วให้อยากได้ใคร่มีฐานะที่สำคัญ “จะเป็นเหมือนพระเจ้า” จะเป็นผู้มีปัญญาความรู้อย่างพระเจ้า   ในที่นี่หมายถึง มีอำนาจเหมือนพระเจ้า  สถานภาพเหมือนพระเจ้า  มีปัญญาอย่างพระเจ้า   จะเป็นอิสระ  ไม่ต้องพึ่งพิง  และอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าต่อไป 

ในที่นี้พระคัมภีร์ชี้ชัดว่า   สิ่งที่ “งู” พูดนั้น   พูดด้วยเล่ห์เหลี่ยม  ดังนั้น  เนื้อหาที่พูดจึงต้องการหลอกล่อให้ผู้ฟังหลง   “งู” หลอกล่อด้วยการทำให้มีมุมมองว่าสิ่งนั้น “ดี” มี  “ผลประโยชน์”  ด้วย “ความงามน่าดู”  กระตุ้น “ใจปรารถนา” ในตัวมนุษย์  เป็นพลังปลุกความอยากในตัวมนุษย์ให้กระหายอยากได้  และมีอิทธิพลแพร่กระจายอย่างเชื้อโรคร้ายไปในท่ามกลางสังคมมนุษย์

“เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าดี  เหมาะเป็นอาหาร   และยังงามน่าดู   ทั้งน่าพึงปรารถนาเพราะจะช่วยให้เกิดปัญญานางจึงนำผลไม้มากิน  และให้สามีที่อยู่กับนาง  และเขาก็กิน...” (3:6 อมตธรรม)

ในชีวิตประจำวันของเรา   เราต้องพบกับเล่ห์เหลี่ยมที่หลอกล่อเราให้หลงด้วย  มุมมองที่หลอกลวงว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ดี  มีประโยชน์  สิ่งต่างๆ เหล่านี้น่าจับ น่าต้อง น่าสัมผัส น่าบริโภค  น่าเสี่ยง  คุ้ม   ใจเราเกิดความปรารถนา   และกระแสสังคมปัจจุบันก็สอนว่า   ให้เราทำไปตามใจปรารถนา   ผลที่เกิดคือเราตกลงในกับดักที่อำนาจบาปชั่วมันวางไว้ด้วย “เล่ห์เหลี่ยม”

ในวันนี้   เราจะฟังเสียงใดที่กระตุ้นในชีวิตจิตใจของเรา

เราจะรับการทรงกระตุ้นให้เห็นถึงสิ่งที่ “จำเป็น” ในชีวิตของเรา   และถ้าเราจะยอมรับ “ความจำเป็น” ในชีวิตของเรา   เราต้อง “ยอม” และ “รับ” พระเจ้าให้มีอิทธิพล และ ทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตและผ่านชีวิตของเรา   ถ้าเช่นนั้น   สิ่งต่างๆ ในวันนี้พระเจ้าจะทรงสำแดงว่า  อะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นที่แท้จริงในชีวิตของเรา  เสียงจากเบื้องบนที่กระตุ้นให้เกิดความตระหนักชัดว่า  อะไรคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของเรา   แต่เราไม่สามารถยึดแย่งไขว่คว้า ด้วยตัวพลังความสามารถของเราเอง   แต่เป็นพระคุณจากพระเจ้า  หรือ 

วันนี้เราจะฟังเสียงที่ใจเราอยากได้ยิน   เป็นเสียงที่สนับสนุนว่า  เราสำคัญ  เรายิ่งใหญ่  เราจะต้องได้  เราปรารถนา   เราจะต้องได้ประโยชน์   แล้วเราจะสำเร็จในชีวิตดั่งใจปรารถนา   คนกลุ่มนี้ต้องการพระเจ้าที่เป็นทาสรับใช้ของพวกเขา   แต่ว่าในที่สุดคนกลุ่มนี้เองจะกลับกลายเป็นทาสรับใช้เจ้าแห่งอำนาจชั่วร้ายที่หลอกล่อพวกเขาด้วยผลประโยชน์ในตอนแรก

ทุกๆ วัน  คริสตชนต้องเลือกว่า จะฟังเสียงใดกันแน่ครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น