24 พฤษภาคม 2556

คริสตจักร: ชุมชนที่ใส่ใจหนุนเสริมกันและกัน


อ่าน ลูกา 10:25-37

...มีบาเรียนคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระเยซู  ทูลถามว่า

“อาจารย์เจ้าข้า   ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์?”   พระองค์ตรัสตอบว่า

“ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร?”   เขาทูลตอบว่า

“จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า  ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า  

 และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”   พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า

“ท่านตอบถูกแล้ว  จงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”

แต่(บาเรียน)คนนั้นอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองถูกต้อง (คือมีชีวิตนิรันดร์)   จึงทูล(ถาม)พระเยซูว่า  “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?” (ข้อ 25-29,  มตฐ.,  ตัวเอนจากอมตธรรม, ในวงเล็บของผู้เขียน)   จากนั้นพระเยซูทรงเล่าอุปมาเรื่องชายสะมาเรียผู้มีใจเมตตา   แล้วลงท้ายด้วยคำตรัสของพระเยซูให้บาเรียนคนนั้นกลับไปดำเนินชีวิตอย่างชายสะมาเรียในเรื่องอุปมานั้น

คริสตจักรเป็นชุมชนของคนที่เชื่อศรัทธาในพระคริสต์   มอบกายถวายชีวิตของตนให้เป็นของพระองค์     มีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนและของชุมชนคริสตจักร   และหัวใจของความเป็นคริสตจักรคือ  การที่คนในชุมชนคริสตจักรอยู่เพื่อที่จะรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ  สิ้นสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของตน   จึงทำให้คนในคริสตจักรรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   คริสตจักรจึงมีภาระใจและพลังชีวิตที่จะกระทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์

คริสตจักร:  ชุมชนที่มีรากฐานตามพระมหาบัญญัตินำสู่พระมหาบัญชา

คนในชุมชนคริสตจักรจะต้องมีพระเจ้าเป็นเอกเป็นใหญ่ที่สุดในชีวิต   รักพระองค์ด้วยความคิดทั้งหมด   ด้วยใจทั้งสิ้น   ถวายชีวิตทั้งชีวิตแด่พระเจ้าเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระองค์   และผ่านการเสริมสร้างกันและกันตามพระประสงค์ของพระคริสต์ในชุมชนคริสตจักร   เพื่อชีวิตของคนในคริสตจักรแต่ละคนและชุมชนคริสตจักรจะได้รับพลังชีวิตในการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   กล่าวคือ ถ้าใครผู้ใดในคริสตจักรมิได้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดกำลังและความคิดแล้ว   เขาย่อมจะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองได้ลำบากยิ่ง   ในทางกลับกันถ้าคนในคริสตจักรหรือชุมชนคริสตจักรใดที่มิได้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองก็ส่อสำแดงให้เห็นชัดว่า  คนและชุมชนคริสตจักรนั้นก็มิได้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ ด้วยสิ้นสุดกำลังความคิดเช่นกัน

ชุมชนคริสตจักรใดๆ ที่อ้างตัวว่ากระทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์จะต้องมีรากฐานชีวิตคริสตชนที่หยั่งรากแข็งแรงมั่นคงและเห็นผลเด่นชัดในการมีชีวิตบนรากฐานพระมหาบัญญัติก่อน   ถ้าคนและชุมชนคริสตจักรใดมิได้มีชีวิตบนรากฐานตามพระมหาบัญญัติ  คือรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังความคิดทั้งสิ้นของตนและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองแล้ว   คนและชุมชนคริสตจักรนั้นจะกระทำตามพระมหาบัญชาได้อย่างไร?   ซึ่งเราพบมิชชันนารีมากมาย  คริสตจักรจำนวนหนึ่งที่มุ่งเน้นประกาศให้ผู้คนรับเชื่อและรับบัพติสมา   แต่ไม่ใส่ใจบ่มเพาะ  ฟูมฟัก  และเสริมสร้างชีวิตของผู้รับบัพติสมาเหล่านั้น   ไม่ใส่ใจชีวิตผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ที่จะได้รับการหนุนเสริมจากชุมชนคริสตจักร  และรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระคริสต์   และนี่เป็นการละเลยกระบวนการสำคัญหนึ่งของการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตในชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า  

แต่ที่คริสตจักรมิได้กระทำเช่นนี้เพราะตัวชุมชนคริสตจักรยังมิได้หยั่งรากลงลึกในการดำเนินชีวิตตามพระมหาบัญญัติ   จึงไม่สามารถหนุนเสริมผู้เชื่อใหม่   และเอื้ออำนวยให้ชีวิตผู้เชื่อใหม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระคริสต์   อาการเช่นนี้บ่งชี้ส่อแสดงว่า   คริสตจักรยังอ่อนแอ  เจ็บป่วย  ขาดกำลัง  ต้องการการเยียวยา  

คริสตจักร:  ชุมชนที่มาพบกันในวันอาทิตย์?

คริสตจักรจึงตกอยู่ในสภาพชีวิตเพียงวันอาทิตย์   ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา   วันอาทิตย์เป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากวันปกติมาเป็นบรรยากาศในการนมัสการวันอาทิตย์   สมาชิกมาคริสตจักรเพื่อที่จะรับจะ “บริโภค”   เช่น คิดว่าจะมารับพระพร  รับพระวจนะจากคำเทศนา   รับการปลดปล่อยทางอารมณ์   ละทิ้งความตึงเครียดในชีวิตไว้ชั่วขณะหนึ่ง  ไขว่คว้าหาการหนุนอกชูใจ   หามุมสงบให้กับชีวิตสักพักหนึ่ง   หวังว่าพระเจ้าจะสำแดงทางออกแก่ชีวิตที่ตีบตันในขณะนี้  แสวงหาการพักผ่อน   บ้างมาแสวงรื่นรมกับเสียงเพลง  บ้างต้องการลืมสิ่งที่หนักอกท้อใจตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา   หลายคนต้องการความสบายใจ  และบางคนก็มาคริสตจักรเพื่อหารายได้เสริม

ชีวิต ความนึกคิดของคนและชุมชนคริสตจักรถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของกระแสบริโภคนิยม  ผู้คนมาคริสตจักรในวันอาทิตย์เพื่อจะได้  เพื่อจะรับ  เพื่อจะบริโภค   จนคริสตจักรลืมและหมดสภาพชีวิตที่จะเอาใจใส่หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่กันและกัน  

ทำให้ต้องกลับมาตั้งคำถามพื้นฐานว่า   แล้วผู้คนและชุมชนคริสตจักรยังรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังความนึกคิดในชีวิตของตนเองอยู่หรือไม่?    และผู้คนและชุมชนคริสตจักรได้เติบโตขึ้นในการที่จะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองหรือเปล่า?  และที่คนและชุมชนคริสตจักรออกไปประกาศพระกิตติคุณนั้น  เป็นการกระทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ หรือ เป็นการทำกิจกรรมหนึ่งตาม “อีเวนท์” ที่สร้างขึ้น  เหมือนการทำกิจกรรมอื่นๆ ของคริสตจักร   เพื่อพยายามนำกิจกรรมเหล่านั้นมาถมหลุมความว่างเปล่าในชีวิตของสมาชิกหรือไม่?

“อย่า​หลง​เลย ท่าน​จะ​ล้อ​เล่น​กับ​พระ​เจ้า​ไม่​ได้
เพราะ​ว่า​ใคร​หว่าน​อะไร​ลง ก็​จะ​เก็บ​เกี่ยว​สิ่ง​นั้น” (กาลาเทีย 6:7 มตฐ.)

คงเป็นความจำเป็นที่คริสตชนและชุมชนคริสตจักรจะต้องกลับมาเอาใจใส่ต่อคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ทรงชี้นำแก่บาเรียนผู้มีความรู้ช่ำชองในธรรมพระคัมภีร์และพระบัญญัติ   และนี่เป็นการสอนและชี้นำของพระคริสต์ต่อคริสตชน และ ชุมชนคริสตจักรในปัจจุบันด้วย   แต่ที่ต้องให้ความสนใจคือ  คริสตชนจะมีท่าทีตอบสนองต่อคำสอนและการชี้นำของพระคริสต์อย่างไร?   อย่างบาเรียนคนนั้นไหม?   ถ้าไม่ใช่จะต้องเป็นแบบไหน?

คริสตจักร:  ชุมชนที่ใส่ใจหนุนเสริมกันและกัน

ถ้าการมาร่วมกันในชุมชนคริสตจักรมิใช่เพื่อแสวงหาการตอบสนองต่อความจำเป็นต้องการของตนเองแล้ว   คริสตชนก็ควรมาร่วมในชุมชนคริสตจักรด้วยท่าทีที่มีพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิต   แต่ก็มิใช่การยกยอสรรเสริญพระองค์ด้วย “ปาก” และเสียงเพลงเท่านั้น   แต่ด้วยความคิด  ด้วยชีวิต  ด้วยสุดกำลังของเราที่มีพระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่นใด   นั่นคือเรามีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเรา   และพระประสงค์ประการหนึ่งของพระเจ้าคือให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  

เพื่อนบ้านที่มิได้จำกัดเฉพาะคนพวกเดียวกัน   สนิทกัน  แต่รวมถึงคนที่เราไม่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน   คนหน้าใหม่ในชุมชนคริสตจักร   คนเก่าแก่ในคริสตจักรที่เราไม่คิดจะสนใจ   คนที่เราไม่ค่อยชอบขี้หน้า   คนที่บ้าอำนาจ  คนที่หยิ่งยโสอวดดี   คนที่อยากเด่นดัง   คนที่เคยทำให้เราเจ็บปวดในชีวิต   แล้วให้ความรักที่เรามีในพระเจ้าที่หนุนเนื่องให้เรารักเพื่อนบ้านนั้นทะลุออกนอกกรอบ นอกรั้วของชุมชนคริสตจักร   เข้าไปในชุมชน  ในครอบครัวของเรา  ในที่ทำงาน  ในกลุ่มเพื่อนฝูงคนสนิทของเรา   

ถ้าเรารักพระเจ้าจริง  ความรักที่มีต่อเพื่อนบ้านก็จะสำแดงเป็นรูปธรรม

ในชีวิตประจำวันของคริสตชนเรามีโอกาสมากมายที่จะรักเพื่อนบ้าน   เราเคยที่จะนั่งลงกับเพื่อนคนหนึ่งในชุมชนคริสตจักร หรือ ในที่ทำงาน   เพื่อที่จะฟังถึงความทุกข์ร้อนยากลำบากในชีวิตด้วยความใส่ใจ   มีโอกาสที่จะรับรู้ถึงความเจ็บปวดในชีวิตของเขาและร่วมอธิษฐานกับเขาต่อพระเจ้าในสถานการณ์ชีวิตนั้น   จนเกิดศานติสุขในชีวิต  แม้ความทุกข์ยากจะยังได้รับการถูกขจัดออกไปหรือไม่ก็ตาม     ท่านได้ให้อ้อมกอดที่เปี่ยมด้วยความรักและอบอุ่นแก่ทารกน้อยที่แม่ต้องนอนป่วยหนักในโรงพยาบาล เมื่อท่านได้ไปเยี่ยมคนในชุมชนหรือไม่?   ท่านมีโอกาสที่จะช่วยกวาดบ้านให้ผู้สูอายุที่ท้ายหมู่บ้าน   ช่วยตักน้ำไว้ในห้องน้ำ   ช่วยรับเขามานมัสการพระเจ้าที่ชุมชนคริสตจักร

การรับใช้คนอื่นด้วยจริงใจก่อนที่จะแสวงหาสิ่งที่ตนเองต้องการจำเป็น  สำแดงออกถึงรูปธรรมของความรักพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่าน   นี่เป็นคุณธรรมและคุณภาพชีวิตที่สำคัญในแผ่นดินของพระเจ้า   และเป็นการวางรากฐานที่สำคัญยิ่งในการกระทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์   และคือรากฐานของชุมชนคริสตจักรที่เอาใจใส่และหนุนเสริมกันและกันในชุมชนคริสตจักรแห่งนั้นๆ

และเราต่างก็เป็นคนหนึ่งและอวัยวะหนึ่งในชุมชนคริสตจักรที่มีพระคริสต์เป็นศีรษะครับ


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น