อ่านโยชูวา 11:1-11
4พวกเขาก็ยกออกมากับกองทัพทั้งหมดของเขาเป็นคนมากมาย
มีจำนวนดังทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย 5กษัตริย์เหล่านี้
ได้ผนึกกำลังกันและมาตั้งค่ายอยู่ด้วยกันที่ลำน้ำเมโรม
เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล 6และพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า
“อย่ากลัวพวกเขาเลย
เพราะว่าพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดไว้ต่ออิสราเอลให้ถูกประหาร
เอ็นน่องม้าของเขาให้เจ้าตัดเสีย และรถรบของเขา เจ้าจงเผาไฟเสีย” 7โยชูวาจึงยกพลเข้าโจมตีพวกเขาทันทีที่ลำน้ำเมโรม
8และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมืออิสราเอล
ผู้ประหารเขาและไล่ตามเขาไปจนถึงมหานครไซดอนและถึงมิสเรโฟทมาอิม
และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก
ได้ประหารพวกเขาจนไม่เหลือสักคนเดียว 9โยชูวาได้ทำต่อเขาตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งไว้
คือได้ตัดเอ็นน่องม้าและเผารถรบเสีย (ข้อ 4-9 มตฐ)
ในชีวิตของท่าน
ท่านเคยเกิดความกลัวครั้งใหญ่ในชีวิตไหม?
อะไรที่ทำให้ท่านกลัวอย่างมาก?
และท่านจัดการความกลัวของท่านอย่างไรบ้าง?
เมื่อท่านอ่านพระธรรมโยชูวา บทที่ 11 ตอนช่วงต้น
ท่านจะเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้โยชูวา ผู้นำอิสราเอลต่อจากโมเสสเกิดความกลัว ภาระหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคือ
การนำประชาชนอิสราเอลข้ามเข้าไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา แต่ข่าวจากหน่วยข่าวกรองหรือพวกสอดแนมได้ให้ข้อมูลที่น่าประหวั่นพรั่นพึงอย่างมาก เพราะฝั่งข้างโน้นที่โยชูวาจะพากองกำลังอิสราเอลจู่โจมเข้าไปนั้น พวกอีกฝั่งหนึ่งกำลังรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนั้น โดยมีกษัตริย์ยาบินแห่งฮาโซร์เป็นตัวตั้งตัวตีในการชักนำประสานกษัตริย์องค์ต่างๆ
ที่ครอบครองในแผ่นดินนั้นมารวมพลเป็นกองทัพพันธมิตรเพื่อต่อสู้ต้อต้านและขยี้กองกำลังประชาอิสราเอลผู้บุกรุก ในพระคัมภีร์ตอนนี้ข้อที่ 4 บรรยายไว้ว่า “พวกเขาก็ยกออกมากับกองทัพทั้งหมดของเขาเป็นคนมากมาย มีจำนวนดังทรายที่ชายทะเล มีม้าและรถรบมากมายด้วย
กษัตริย์เหล่านี้ได้ผนึกกำลังกันและมาตั้งอยู่ด้วยกันที่ลำน้ำเมโรม เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล” (ข้อ 4 และ 5)
จากการบันทึกของ โจซีฟัส (Josephus) นักประวัติศาสตร์ยุคโบราณ
ได้บรรยายไว้ว่า
กองกำลังพันธมิตรในแผ่นดินนั้นที่ยกกองกำลังมารวมกันเพื่อต่อต้านกองทัพประชาชนอิสราเอล ประกอบด้วย กองกำลังทหารราบประมาณ 300,000
คน ทหารม้าประมาณ 10,000 คน และรถม้าศึกอีกประมาณ
20,000 คัน กองกำลังนี้น่าเกรงขาม และ น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่กองกำลังประชาชนอิสราเอลไม่มีรถออกศึก หรือม้าศึกเลย มีแต่กองกำลังประชาชน
ถ้าท่านเป็นโยชูวาในเวลานั้นท่านจะรู้สึกอย่างไร? ยิ่งได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลถึงกองกำลังพันธมิตรของศัตรู ท่านคิดว่าโยชูวาจะรู้สึกอย่างไร?
ยิ่งได้ยินว่ากองกำลังพันธมิตรต่างชาติจัดกระบวนทัพที่เข้มแข็ง ที่เป็นระบบ
เป็นทิวแถวเช่นนี้
โยชูวาจะคิดอย่างไร?
ในภาวะวิกฤติที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จากการที่โยชูวาพยายามยืนหยัดที่จะไม่เกรงกลัวกองกำลังของศัตรู เขาคงถามอย่างสงสัยในใจว่า
แล้วเขาจะนำกองกำลังประชาชนอิสราเอลอย่างไรที่จะเอาชนะกองกำลังพันธมิตรต่างชาติที่ขวางอยู่ข้างหน้าเขา
ในภาวะสับสนและวิกฤติในการเป็นผู้นำเช่นนี้สิ่งที่โยชูวาได้รับจากพระเจ้าคือ คำตรัสจากพระองค์ว่า “อย่ากลัวเลย เพราะพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดไว้ต่ออิสราเอล...” (ข้อ
6) คำตรัสนี้มิได้ตอบคำถามที่ค้างคาใจว่า
โยชูวาจะนำกองกำลังประชาชนอิสราเอลอย่างไรที่จะเอาชนะกองกำลังพันธมิตรของศัตรู
ถ้าเป็นท่าน ท่านจะตอบสนองต่อคำตรัสของพระเจ้าในจิตใจของท่านอย่างไร?
ถ้าพระเจ้ามิได้ตอบโจทย์ที่ท่านถามในใจของท่าน ท่านจะทำเช่นไร?
ท่านยังจะเดินหน้าต่อไปด้วยความไว้วางใจพระเจ้าอยู่หรือไม่?
ท่านเคยมีประสบการณ์ในชีวิตบ้างไหมที่ท่านต้องการให้พระเจ้าทรงนำ
ทรงตอบ ว่าท่านจะต้องจัดการอย่างไรกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน
แต่พระเจ้ามิได้ตอบโจทย์ที่ท่านต้องการรู้คำตอบ แต่กลับบอกท่านเพียงว่า “อย่ากลัวเลย...”
และบอกอีกว่าแล้วทุกอย่างจะสำเร็จเรียบร้อย
แต่เราถามในใจว่า “แล้วฉันต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จเรียบร้อย?”
แท้จริงพระเจ้าแจ้งให้โยชูวารู้ถึงแผนการหรือวิธีการของพระองค์อย่างชัดเจน พระเจ้าบอกกับโยชูวาว่า “เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดไว้ต่ออิสราเอล...” คำตอบจากพระเจ้าเตือนเราว่า
การทำศึกกับศัตรูจนมีชัยชนะครั้งนี้เป็นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์คือผู้ที่จะจัดการกำราบศัตรูและนำพวกเขามามอบแก่กองกำลังประชาชนอิสราเอลเอง
ชัยชนะของอิสราเอลมาจากพระเจ้า!
การจัดการวิกฤติชีวิตจนสำเร็จเป็นพระราชกิจของพระเจ้า!
แล้วพระคัมภีร์บอกเราว่า แล้วพระเจ้าทรงมอบชัยชนะนั้นแก่อิสราเอล และพระเจ้าจะทรงมอบชัยชนะเหนือวิกฤติชีวิตของเราแก่เราเองเช่นกัน เรามิใช่ผู้ผจญจนได้ชัยชนะ แต่พระเจ้าต่างหากคือผู้ผจญกับศัตรูจนได้ชัยชนะ จากนั้นพระองค์ทรงมอบชัยชนะนั้นแก่เรา
แล้วให้เราจัดการชัยชนะนั้นให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราจัดการชีวิตหลังชัยชนะซึ่งเป็นการเชื่อฟังและความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำตาม
สังคมปัจจุบันรวมถึงคริสตชนในปัจจุบันต้องการที่จะเป็นผู้ชนะ ต้องการที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ
แต่สำหรับพระเจ้าแล้วพระองค์ประสงค์ให้เรามีชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ การมีชัยเหนืออำนาจชั่วร้าย
และความสำเร็จที่มีชีวิตหลุดรอดปลอดภัยจากปรปักษ์ในชีวิตเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราแต่ละคน
แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราแต่ละคนรับผิดชอบในชีวิตคือ
การที่จะมอบกายถวายชีวิตของเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตแต่ละวันตามที่พระเจ้าประสงค์
อันเป็นกระบวนการเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นสาวกของพระคริสต์
บ่อยครั้งใช่ไหม
เมื่อพระคริสต์ทรงช่วยปลดปล่อยเราให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นานเรากลับปล่อยตัวปล่อยใจให้ต่ำลงสู่การถูกครอบงำของทรัพย์สินสิ่งของ อำนาจ
ผลประโยชน์ที่อำนาจบาปชั่วใช้เป็น “กับดัก” ล่อให้เราหลงอีกครั้งหนึ่ง
เมื่ออ่านเรื่องของโยชูวาตอนนี้ ท่านเคยถามไหมว่า
ทำไมพระเจ้าถึงให้โยชูวาและกองกำลังประชาชนอิสราเอลตัดเอ็นน่องม้าศึก และ
เผารถรบทั้งหมดเสีย(ข้อ 9)? ซึ่งม้าศึกมีทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30,000 ตัว และรถศึกษามีไม่ต่ำกว่า 20,000 คัน
เมื่ออิสราเอลกำลังจะสร้างประเทศใหม่ที่แวดล้อมด้วยศัตรูคู่อาฆาต และตนเองไม่มีกองกำลังและสรรพาวุธ และ
รถรบเลย แต่ทำไมพระเจ้าสั่งให้เผาทิ้งและตัดเอนน่องม้าทุกตัวเสีย? ทำไมไม่เก็บไว้เพื่อเสริมสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง?
เป็นการง่ายสำหรับอิสราเอลเมื่อเสริมสร้างกองกำลังกองทัพของตนเข้มแข็งแล้ว
จะทำให้ตนผยองคิดว่าตนเองจัดการตนเองให้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จได้ แล้วอิสราเอลจะหลงในพลังของม้าศึกและรถรบ
และหลงตัวเองจนคิดว่าตนเองสามารถที่จะต่อสู้และปกป้องตนเองให้ได้รับชัยชนะจากศัตรู
และสามารถยึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาสำเร็จด้วยกำลังของตนเอง จากนั้นก็จะตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ตามใจปรารถนาของตนเอง เพราะตนเป็นที่พึ่งของตน มิใช่พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิงในชีวิตของตน จึงไม่สนใจที่ถวายชีวิตและเสริมสร้างชีวิตให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ชัยชนะและความสำเร็จเป็นของประทานจากพระเจ้า
และชีวิตที่เติบโตขึ้นในการเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นความสัตย์ซื่อและความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้าในการดำเนินชีวิตในโลกนี้
อย่ากลัวเลย
เป็นคำมั่นสัญญาที่สัตย์ซื่อจากพระเจ้า
เพราะชัยชนะและความสำเร็จพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ และมอบความสำเร็จและชัยชนะดังกล่าวแก่เรา ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นจะต้องกลัวต่อไป
แต่ความรับผิดชอบของเราคือการที่จะเชื่อฟังและสัตย์ซื่อที่จะมีชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
วันนี้ ท่านจงอย่ากลัวเลย จงมั่นใจในพระเจ้า แล้วอย่าลืมที่จะเชื่อฟัง
กระทำตามพระประสงค์ด้วยความสัตย์ซื่อ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น