15 กรกฎาคม 2556

ทำไมพระเจ้าถึงบอกว่า “อย่ากลัวเลย”

อ่านโยชูวา 11:1-11

4พวก​เขา​ก็​ยก​ออก​มา​กับ​กอง​ทัพ​ทั้ง​หมด​ของ​เขา​เป็น​คน​มาก​มาย มี​จำนวน​ดัง​ทราย​ที่​ชาย​ทะเล มี​ม้า​และ​รถ​รบ​มาก​มาย​ด้วย   5กษัตริย์​เหล่า​นี้ ได้​ผนึก​กำลัง​กัน​และ​มา​ตั้ง​ค่าย​อยู่​ด้วย​กัน​ที่​ลำ​น้ำ​เม​โรม เพื่อ​จะ​สู้​รบ​กับ​อิส​รา​เอล   6และ​พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​กับ​โย​ชู​วา​ว่า อย่า​กลัว​พวก​เขา​เลย เพราะ​ว่า​พรุ่ง​นี้​ใน​เวลา​เดียว​กัน​นี้ เรา​จะ​มอบ​พวก​เขา​ทั้ง​หมด​ไว้​ต่อ​อิส​รา​เอล​ให้​ถูก​ประ​หาร เอ็น​น่อง​ม้า​ของ​เขา​ให้​เจ้า​ตัด​เสีย และ​รถ​รบ​ของ​เขา เจ้า​จง​เผา​ไฟ​เสีย”  7โย​ชู​วา​จึง​ยก​พล​เข้า​โจม​ตี​พวก​เขา​ทัน​ที​ที่​ลำ​น้ำ​เม​โรม    8และ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​มอบ​พวก​เขา​ไว้​ใน​มือ​อิส​รา​เอล ผู้​ประ​หาร​เขา​และ​ไล่​ตาม​เขา​ไป​จน​ถึง​มหา​นคร​ไซดอน​และ​ถึง​มิส​เร​โฟท​มา​อิม และ​ถึง​หุบ​เขา​มิส​ปาห์​ด้าน​ตะวัน​ออก ได้​ประ​หาร​พวก​เขา​จน​ไม่​เหลือ​สัก​คน​เดียว    9โย​ชู​วา​ได้​ทำ​ต่อ​เขา​ตาม​ที่​พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​สั่ง​ไว้ คือ​ได้​ตัด​เอ็น​น่อง​ม้า​และ​เผา​รถ​รบ​เสีย (ข้อ 4-9 มตฐ)

ในชีวิตของท่าน   ท่านเคยเกิดความกลัวครั้งใหญ่ในชีวิตไหม?   อะไรที่ทำให้ท่านกลัวอย่างมาก?   และท่านจัดการความกลัวของท่านอย่างไรบ้าง?

เมื่อท่านอ่านพระธรรมโยชูวา บทที่ 11 ตอนช่วงต้น   ท่านจะเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้โยชูวา ผู้นำอิสราเอลต่อจากโมเสสเกิดความกลัว   ภาระหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคือ   การนำประชาชนอิสราเอลข้ามเข้าไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา    แต่ข่าวจากหน่วยข่าวกรองหรือพวกสอดแนมได้ให้ข้อมูลที่น่าประหวั่นพรั่นพึงอย่างมาก   เพราะฝั่งข้างโน้นที่โยชูวาจะพากองกำลังอิสราเอลจู่โจมเข้าไปนั้น   พวกอีกฝั่งหนึ่งกำลังรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนั้น   โดยมีกษัตริย์ยาบินแห่งฮาโซร์เป็นตัวตั้งตัวตีในการชักนำประสานกษัตริย์องค์ต่างๆ ที่ครอบครองในแผ่นดินนั้นมารวมพลเป็นกองทัพพันธมิตรเพื่อต่อสู้ต้อต้านและขยี้กองกำลังประชาอิสราเอลผู้บุกรุก   ในพระคัมภีร์ตอนนี้ข้อที่ 4 บรรยายไว้ว่า “พวกเขาก็ยกออกมากับกองทัพทั้งหมดของเขาเป็นคนมากมาย   มีจำนวนดังทรายที่ชายทะเล  มีม้าและรถรบมากมายด้วย  กษัตริย์เหล่านี้ได้ผนึกกำลังกันและมาตั้งอยู่ด้วยกันที่ลำน้ำเมโรม  เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล” (ข้อ 4 และ 5)

จากการบันทึกของ โจซีฟัส (Josephus) นักประวัติศาสตร์ยุคโบราณ   ได้บรรยายไว้ว่า กองกำลังพันธมิตรในแผ่นดินนั้นที่ยกกองกำลังมารวมกันเพื่อต่อต้านกองทัพประชาชนอิสราเอล  ประกอบด้วย กองกำลังทหารราบประมาณ 300,000 คน ทหารม้าประมาณ 10,000 คน และรถม้าศึกอีกประมาณ 20,000 คัน กองกำลังนี้น่าเกรงขาม และ น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่กองกำลังประชาชนอิสราเอลไม่มีรถออกศึก  หรือม้าศึกเลย   มีแต่กองกำลังประชาชน

ถ้าท่านเป็นโยชูวาในเวลานั้นท่านจะรู้สึกอย่างไร?    ยิ่งได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลถึงกองกำลังพันธมิตรของศัตรู  ท่านคิดว่าโยชูวาจะรู้สึกอย่างไร?  ยิ่งได้ยินว่ากองกำลังพันธมิตรต่างชาติจัดกระบวนทัพที่เข้มแข็ง  ที่เป็นระบบ  เป็นทิวแถวเช่นนี้  โยชูวาจะคิดอย่างไร?

ในภาวะวิกฤติที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้   จากการที่โยชูวาพยายามยืนหยัดที่จะไม่เกรงกลัวกองกำลังของศัตรู   เขาคงถามอย่างสงสัยในใจว่า  แล้วเขาจะนำกองกำลังประชาชนอิสราเอลอย่างไรที่จะเอาชนะกองกำลังพันธมิตรต่างชาติที่ขวางอยู่ข้างหน้าเขา   ในภาวะสับสนและวิกฤติในการเป็นผู้นำเช่นนี้สิ่งที่โยชูวาได้รับจากพระเจ้าคือ  คำตรัสจากพระองค์ว่า “อย่ากลัวเลย   เพราะพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้   เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดไว้ต่ออิสราเอล...” (ข้อ 6)   คำตรัสนี้มิได้ตอบคำถามที่ค้างคาใจว่า  โยชูวาจะนำกองกำลังประชาชนอิสราเอลอย่างไรที่จะเอาชนะกองกำลังพันธมิตรของศัตรู

ถ้าเป็นท่าน ท่านจะตอบสนองต่อคำตรัสของพระเจ้าในจิตใจของท่านอย่างไร?

ถ้าพระเจ้ามิได้ตอบโจทย์ที่ท่านถามในใจของท่าน   ท่านจะทำเช่นไร?   ท่านยังจะเดินหน้าต่อไปด้วยความไว้วางใจพระเจ้าอยู่หรือไม่?

ท่านเคยมีประสบการณ์ในชีวิตบ้างไหมที่ท่านต้องการให้พระเจ้าทรงนำ ทรงตอบ ว่าท่านจะต้องจัดการอย่างไรกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน   แต่พระเจ้ามิได้ตอบโจทย์ที่ท่านต้องการรู้คำตอบ   แต่กลับบอกท่านเพียงว่า  “อย่ากลัวเลย...”   และบอกอีกว่าแล้วทุกอย่างจะสำเร็จเรียบร้อย  

แต่เราถามในใจว่า  “แล้วฉันต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จเรียบร้อย?”  

แท้จริงพระเจ้าแจ้งให้โยชูวารู้ถึงแผนการหรือวิธีการของพระองค์อย่างชัดเจน   พระเจ้าบอกกับโยชูวาว่า  “เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดไว้ต่ออิสราเอล...”   คำตอบจากพระเจ้าเตือนเราว่า   การทำศึกกับศัตรูจนมีชัยชนะครั้งนี้เป็นพระราชกิจของพระองค์   พระองค์คือผู้ที่จะจัดการกำราบศัตรูและนำพวกเขามามอบแก่กองกำลังประชาชนอิสราเอลเอง  

ชัยชนะของอิสราเอลมาจากพระเจ้า!  

การจัดการวิกฤติชีวิตจนสำเร็จเป็นพระราชกิจของพระเจ้า!

แล้วพระคัมภีร์บอกเราว่า   แล้วพระเจ้าทรงมอบชัยชนะนั้นแก่อิสราเอล   และพระเจ้าจะทรงมอบชัยชนะเหนือวิกฤติชีวิตของเราแก่เราเองเช่นกัน   เรามิใช่ผู้ผจญจนได้ชัยชนะ   แต่พระเจ้าต่างหากคือผู้ผจญกับศัตรูจนได้ชัยชนะ   จากนั้นพระองค์ทรงมอบชัยชนะนั้นแก่เรา   แล้วให้เราจัดการชัยชนะนั้นให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์  

พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราจัดการชีวิตหลังชัยชนะซึ่งเป็นการเชื่อฟังและความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำตาม

สังคมปัจจุบันรวมถึงคริสตชนในปัจจุบันต้องการที่จะเป็นผู้ชนะ   ต้องการที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ   แต่สำหรับพระเจ้าแล้วพระองค์ประสงค์ให้เรามีชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์   การมีชัยเหนืออำนาจชั่วร้าย  และความสำเร็จที่มีชีวิตหลุดรอดปลอดภัยจากปรปักษ์ในชีวิตเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราแต่ละคน   แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราแต่ละคนรับผิดชอบในชีวิตคือ   การที่จะมอบกายถวายชีวิตของเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตแต่ละวันตามที่พระเจ้าประสงค์    อันเป็นกระบวนการเสริมสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นสาวกของพระคริสต์

บ่อยครั้งใช่ไหม   เมื่อพระคริสต์ทรงช่วยปลดปล่อยเราให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วแล้ว   แต่หลังจากนั้นไม่นานเรากลับปล่อยตัวปล่อยใจให้ต่ำลงสู่การถูกครอบงำของทรัพย์สินสิ่งของ  อำนาจ  ผลประโยชน์ที่อำนาจบาปชั่วใช้เป็น “กับดัก” ล่อให้เราหลงอีกครั้งหนึ่ง

เมื่ออ่านเรื่องของโยชูวาตอนนี้   ท่านเคยถามไหมว่า   ทำไมพระเจ้าถึงให้โยชูวาและกองกำลังประชาชนอิสราเอลตัดเอ็นน่องม้าศึก และ เผารถรบทั้งหมดเสีย(ข้อ 9)?   ซึ่งม้าศึกมีทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 30,000 ตัว  และรถศึกษามีไม่ต่ำกว่า 20,000 คัน    เมื่ออิสราเอลกำลังจะสร้างประเทศใหม่ที่แวดล้อมด้วยศัตรูคู่อาฆาต  และตนเองไม่มีกองกำลังและสรรพาวุธ และ รถรบเลย   แต่ทำไมพระเจ้าสั่งให้เผาทิ้งและตัดเอนน่องม้าทุกตัวเสีย?   ทำไมไม่เก็บไว้เพื่อเสริมสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง?  

เป็นการง่ายสำหรับอิสราเอลเมื่อเสริมสร้างกองกำลังกองทัพของตนเข้มแข็งแล้ว   จะทำให้ตนผยองคิดว่าตนเองจัดการตนเองให้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จได้    แล้วอิสราเอลจะหลงในพลังของม้าศึกและรถรบ   และหลงตัวเองจนคิดว่าตนเองสามารถที่จะต่อสู้และปกป้องตนเองให้ได้รับชัยชนะจากศัตรู   และสามารถยึดครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาสำเร็จด้วยกำลังของตนเอง   จากนั้นก็จะตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ตามใจปรารถนาของตนเอง   เพราะตนเป็นที่พึ่งของตน   มิใช่พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิงในชีวิตของตน   จึงไม่สนใจที่ถวายชีวิตและเสริมสร้างชีวิตให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า   

ชัยชนะและความสำเร็จเป็นของประทานจากพระเจ้า   และชีวิตที่เติบโตขึ้นในการเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นความสัตย์ซื่อและความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้าในการดำเนินชีวิตในโลกนี้

อย่ากลัวเลย   เป็นคำมั่นสัญญาที่สัตย์ซื่อจากพระเจ้า   เพราะชัยชนะและความสำเร็จพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ   และมอบความสำเร็จและชัยชนะดังกล่าวแก่เรา   ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นจะต้องกลัวต่อไป   แต่ความรับผิดชอบของเราคือการที่จะเชื่อฟังและสัตย์ซื่อที่จะมีชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า

วันนี้  ท่านจงอย่ากลัวเลย   จงมั่นใจในพระเจ้า   แล้วอย่าลืมที่จะเชื่อฟัง กระทำตามพระประสงค์ด้วยความสัตย์ซื่อ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น