ในกระแสวันธรรมแห่งความกดดันในปัจจุบันนี้ มิได้ทำให้เรามี “ชีวิตที่ครบบริบูรณ์”
หรือชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขอย่างพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ได้กล่าวไว้ ถึงแม้ปัจจุบันเรามีเงินทองมากมาย, ทรัพย์สินสิ่งเยอะแยะเกินต้องการ,
มีการบริการที่ยอดเยี่ยม(เมื่อเทียบกับอดีต),
และเป็นสมัยโลกที่มีระบบสาธารณสุขที่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพที่ดีเยี่ยม สิ่งเหล่านี้รอเราเข้าถึงความอุดมสมบูรณ์ของมัน
สังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันมิได้มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวด้านโรคภัยไข้เจ็บ และภัยธรรมชาติที่โหมกระหน่ำรุนแรง เพราะเราเชื่อในระบบเตือนภัย? เรามียาปฏิชีวนะ และ วัคซีนป้องกันโรค
สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วใช้เวลาน้อยกว่า 100 ปี คนในยุคนี้คาดหวังและกำลังเข้าใจว่าเราสามารถมีอายุยืนยาวและแข็งแรงมากกว่าผู้คนในอดีต?
ในยุคของเราวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี ได้สร้างสิ่งดีๆ แก่ผู้คนมากมาย
ทำให้เราประหยัดการใช้เวลาลงในการกระทำสิ่งต่างๆ
เรามีโปรแกรมที่ช่วยเราในการบริหารจัดการด้านการเงิน การบริหารจัดการเวลาของเรา ในการลดน้ำหนักตัวของเรา เราสามารถไปยังอีกซีกโลกหนึ่งภายในเวลา 24 ชั่วโมง เราสามารถเข้าถึงความสะดวกสบาย การเดินทาง
การพักผ่อน และเข้าถึงสิ่งต่างๆ ที่เราชอบและพึงพอใจได้สะดวกรวดเร็วมากมายกว่าผู้คนในสมัยก่อนหน้าเรา
คำถามคือ แล้วชีวิตของเรามีความสุขหรือไม่?
แต่คิดตามหลักตรรกะแล้ว ถ้าสถานการณ์ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่าเราน่าจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข และ
ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ
หรือมากกว่าคนที่อยู่ในโลกที่สามที่ยากจนข้นแค้นมิใช่หรือ?
ลองมองดูรอบๆ ตัวเราสักหน่อยสิ มันเป็นความจริงที่ท่านสามารถเห็นกับตาได้ไหม?
แต่สิ่งที่เราเห็นกลับเป็นชีวิตที่มีแต่ความเหนื่อยล้า, รุ่มร้อน,
ผู้คนอยู่ในภาวะถูกกดดัน รีบเร่ง ไม่มีเวลา
วุ่นวาย สับสน เครียด
กดดัน เหนื่อยล้าหมดแรง และนี่คือความสมบูรณ์พูนครบที่เป็นอยู่ในวัฒนธรรมของเราในปัจจุบัน!?
ในหนังสือชื่อ Margin: Restoring Emotional, Physical, Financial, and
Time Reserves to Overloaded Lives.
เขียนโดย Richard A. Swenson, M.D ที่ ซูซานน์ โจนส์
ได้สกัดความไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
ใหญ่กว่า, ดีกว่า,
มากกว่า
ดร. สเวนสัน
ได้ชี้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากความผิดปรกติบางประการ
ท่านชี้ว่าวัฒนธรรมในโลกแห่งความทันสมัยของยุคนี้กำลังตกอยู่ในภาวะความเจ็บปวดทางจิตใจ
อารมณ์ และจิตวิญญาณ
ความก้าวหน้าแห่งยุคทันสมัยได้หยิบยื่นวัฒนธรรม “ที่มีมากกว่า”
“รวดเร็วกว่า” ให้แก่ผู้คนในปัจจุบันนี้
ท่านถามอย่างท้าทายว่า
แต่ถ้ามันมากเกินพอดีล่ะจะเป็นอย่างไร?
แล้วถ้ามันก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย จนเกิดความตึงเครียด ความรุนแรงก้าวร้าว ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ความรีบเร่งรวดเร็วจนกลายเป็นสิ่งที่ทับถมจู่โจมความนึกคิด จิตใจ อารมณ์
และจิตวิญญาณ ความสามารถ ทางเศรษฐกิจการกินการอยู่ของเราล่ะ จะเป็นอย่างไร?
ความก้าวหน้าไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย และนี่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักด้วย!
ประเด็นสำคัญคือ ในปัจจุบันเราตกอยู่ในภาวะ “เสพติด”
วัฒนธรรมใหญ่กว่า มากกว่า ดีกว่า
เร็วกว่า แล้ววัฒนธรรมนี้ทำให้เรากลายเป็นคนที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เรา
“เหนือกว่าคนอื่น”
รวมถึงความคิดที่ว่าเราเหนือกว่าคนในยุคก่อนหน้าเราด้วย
เราคิดว่าการมีมากกว่าย่อมดีกว่าใช่หรือไม่?
ดร. สเวนสัน ชี้ว่า
เป็นความจริงที่เราปัจจุบันมีความก้าวหน้าในด้านกายภาพและสภาพแวดล้อมในการรับรู้และการคิด
แต่เราสูญเสียการรับรู้และการคิดที่ละเอียดอ่อนในด้านสังคมและความสัมพันธ์, ด้านอารมณ์ความรู้สึก, และด้านจิตวิญญาณ ท่านกล่าวอย่างแดกดันว่า
“ปัจจุบันเรามีความทุกข์ทุกอย่างที่เราหาซื้อได้”
ถ้าเกิดการระบาดของโรคอหิวาตกโรคในที่ใด เรามักจะมุ่งมองบ่งชี้ไปที่ความผิดพลาดของสภาพแวดล้อมมิใช่คนที่ได้รับเชื้อโรคตัวนั้น
เช่นกันการระบาดของโรคความเจ็บปวดทางความคิดจิตใจและอารมณ์ก็เกิดจากสภาพที่ไร้สุขภาวะอันเกิดจากความก้าวหน้าของวัฒนธรรมแวดล้อมสังคมมนุษย์เช่นกัน
เช่น ความเครียด
ผู้คนต้องแบกรับทางจิตใจอารมณ์และจิตวิญญาณที่เกินพิกัด ระบบสนับสนุนสุขภาวะที่พิกลพิการ
แย่กว่านั้นเรายังตกอยู่ในภาวะวัฒนธรรมที่ให้ความนับถือและให้รางวัลแก่สิ่งที่อาจจะสร้างอันตรายหายนะแก่มนุษย์
เราอับอายไม่กล้าที่จะยอมรับว่าชีวิตของเรากำลังประสบกับความเจ็บปวด และกลัวเสียหน้าที่จะบอกเล่ากล่าวเตือนให้ระวังในเรื่องนั้น ใช่ไหม?
เรามีสิ่งของดีๆ มากมายที่เราสามารถใช้เงินซื้อมา แต่เราก็ยังไม่มีความสุขใช่ไหม?
อะไรกำลังเกิดขึ้นกับเรา
อะไรคือสิ่งผิดพลาดที่ทำให้เราตกในสภาพที่ไร้ความสุข?
เราจึงชี้กล่าวโทษคนอื่น อย่างเช่นเรากล่าวโทษคนที่ได้รับเชื้ออหิวาตกโรคมาเช่นนั้น และนี่เป็นการหลงประเด็นมิใช่หรือ?
ความเครียด:
ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลง
ความเครียดมิใช่ผลพวงที่เกิดจากการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เลวร้าย
หรือ ไม่พึงประสงค์อย่างที่เรามักจะเข้าใจกันเช่นนั้น
แต่ความเครียดเกิดขึ้นได้กับสถานการณ์ที่เลวร้าย
และ สถานการณ์ที่ดีด้วย ความตาย, การหย่าร้างทำให้คนเราเครียดจัด
แต่เมื่อเรามีความดีใจสุขใจอย่างเช่นการแต่งงาน หรือ
การตั้งครรภ์ก็นำความเครียดมาสู่ผู้คนด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนงานที่ทำหรือการหยุดพักลางานมันก็สร้างความเครียดให้ได้เช่นกันด้วย ที่เราเครียดเพราะเราต้องตัดสินใจในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของแต่ละสถานการณ์ชีวิตการงาน ความเครียดเกิดขึ้นเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนั้น
และในเวลาเดียวกันเราไม่สามารถควบคุมการเกิดความเครียดให้มีมากน้อยแค่ไหน
ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเครียดกันอย่างมากเพราะชีวิตขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ และก็ไม่มีระบบใดที่จะช่วยเสริมหนุนผู้คนในการรับมือต่อความเร็วสูงในยุคปัจจุบัน และในเวลาเดียวกันเราก็ไม่มีพื้นที่ว่างที่คนในยุคปัจจุบันจะใช้เป็นที่อยู่พักพิงอย่างเช่นคนในอดีตมี
เช่น พื้นที่ในความสัมพันธ์กันเองในครอบครัว
พื้นที่ว่างของชีวิตจิตวิญญาณ
พื้นที่ว่างในความสัมพันธ์ในชุมชนหมู่บ้าน
พื้นที่ว่าง
ในสภาพชีวิตที่ถูกสิ่งต่างๆ
ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว เศรษฐกิจที่ถาโถมจู่โจมเข้าในชีวิตของเราอย่างยากที่เราจะยับยั้ง
จนชีวิตเกิดความสับสนว้าวุ่นจนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิตของตน และนี่คือที่มาว่า ในชีวิตของเราปัจจุบันนี้เราต้องการพื้นที่ว่างสำหรับชีวิตของเรา
เมื่อเราพูดถึงพื้นที่ว่างสำหรับชีวิต ขอให้เราคิดถึงหน้าหนังสือที่มีพื้นที่กรอบรอบหน้าหนังสือที่เป็นพื้นที่ว่าง ไม่มีตัวหนังสือใดๆ
พื้นที่ว่างสำหรับชีวิตเป็นภาพที่แตกต่างกับชีวิตที่ถูกถาโถมยึดครองพื้นที่ชีวิตของเราไปจนหมดสิ้น และให้เราสังเกตว่า
ตัวหนังสือที่เขียนหรือพิมพ์ลงในหน้าหนังสือนั้นก็ยังมีพื้นที่ว่างระหว่างอักษรและสระ มีวรรคมีตอน
ที่ทำให้ตัวอักษรเหล่านี้สื่อสารความหมายได้ แต่ถ้าทั้งหน้ามีอักษรที่ติดกันเป็นพรืดไปจนไม่รู้จะอ่านหรือเข้าใจว่ามีความหมายอะไรแล้ว ก็ไม่สามารถสื่อสารความหมายมันไม่มีคุณค่าอะไร ดังนั้นพื้นที่ว่างเล็กบ้างน้อยบ้างก็จะช่วยให้เกิดการสื่อสารความหมายและก่อเกิดคุณค่า ชีวิตของคนเราก็เช่นกันที่ต้องมีพื้นที่ว่าง
เล็กบ้างกว้างบ้างจึงนำมาซึ่งคุณค่าและความหมายในชีวิต
ชีวิตจะไร้ซึ่งคุณค่าและความหมายถ้าชีวิตอัดแน่นยัดเยียดด้วยกิจกรรมและสถานการณ์ต่างๆ
ในชีวิต เพราะชีวิตของเราจะไม่มีเวลาและโอกาสชีวิตในการสะท้อนคิดถึงชีวิตของเราที่เป็นไป
เวลาชีวิตสำหรับการสะท้อนคิด
การเดินทางไปที่ต่างๆ เป็นกิจกรรมประเภทหนึ่งที่ผมชอบ
เพราะในช่วงของการเดินทางทำให้ผมมีพื้นที่เวลาชีวิตที่จะสะท้อนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาในเรื่องต่างๆ และในเวลาเดียวกันในการเดินทางนำเราไปพบประสบกับประสบการณ์ต่างๆ
ใหม่ๆ ในชีวิต และนี่คือสิ่งที่เราสามารถใช้ในการสะท้อนคิดใคร่ครวญถึงชีวิตของเรา แต่ถ้าช่วงใดที่ต้องเดินทางเพราะการงานที่แบบติดๆ
กันมิได้พักจนเกิดอาการเบลอในชีวิต
การเดินทางแบบนี้เรามักถูกแย่งชิงพื้นที่เวลาชีวิตที่จะมีโอกาสสะท้อนคิดไปหมด ไม่มีเวลาที่จะสะท้อนคิด
และไม่ต้องแปลกใจเลยครับการเดินทางแบบนี้ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีในชีวิต แต่นำมาซึ่งความเหนื่อยอ่อนหมดแรง
นำสู่การหมดไฟในชีวิต
ชีวิตที่ต้องเลือก
การที่จะมีพื้นที่ว่างในชีวิตได้ก็เพราะคนๆ
นั้นตัดสินใจเลือกให้ชีวิตมีพื้นที่ว่างสำหรับตนเอง ต้องตัดสินใจและตัดใจลงไปว่า
จะทำกิจกรรมชีวิตน้อยลง
วางกำหนดตารางงานชีวิตให้หนาแน่นลดลง
และต้องเรียนรู้ที่จะตอบปฏิเสธ
พื้นที่ว่างในชีวิตคือการที่เราจะมีพื้นที่เวลาชีวิตเพิ่มมากขึ้น มีกำลังในตนเองเหลือมากขึ้น มีทรัพยากรเหลือมากยิ่งขึ้น
ที่มีมากยิ่งขึ้นที่กล่าวมานี้มิใช่เพราะเราทำงานหนักขึ้น
แต่เพราะเราเปลี่ยนความคาดหวังในชีวิตของเรา และมุมมองความคิดเข้าใจ หรือคำจำกัดความ
“ความสำเร็จ” ในชีวิตของเราที่เปลี่ยนไป
พื้นที่ว่างในชีวิตคือการที่เราพอใจกับชีวิตที่เรามีอยู่และเป็นอยู่
(กรุณาอ่านตอนต่อไปในวันศุกร์หน้า)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น