ในสังคมที่ยกย่องให้ความสำคัญแก่คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ คนที่มีชื่อเสียง
หรือคนที่เด่นดังอยู่ในแนวหน้ายากนักที่เขาคนนั้นจะยอมเป็นคนที่จะตามคนอื่น
Jo Kadlecheck ได้เขียนไว้ว่า “การที่ใครเป็นคนที่ติดตาม คนนั้นยืนอยู่บนทางแยก
แล้วมุ่งมองว่าถ้าจะมุ่งติดตามพระคริสต์เขาจะต้องมุ่งไปสู่ทิศทางใด แล้วติดตามพระองค์ไปบนเส้นทางนั้น ในทุกก้าวที่ติดตามไป
จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาคนนั้นต้องยอมละทิ้งอำนาจบาตรใหญ่ และเลิกที่จะคอยควบคุมอยู่เหนือคนอื่น แล้วใครล่ะจะต้องการทำเช่นนั้น?”
อย่างไรก็ตาม หัวใจของการมีชีวิตคริสตชนคือการที่มีชีวิตติดตามพระคริสต์ Jo Kadlecheck บอกว่าบางครั้งเขาแปลกประหลาดใจว่า มีคนบอกว่าตนเชื่อศรัทธาในพระเจ้า แต่บางครั้งคนนั้นเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์อย่างมืดบอด มุ่งติดตามแต่แผนกลยุทธ์และเป้าหมายองค์กรที่ตนวางไว้
แทนที่จะทูลถามพระคริสต์ด้วยความถ่อมใจว่า พระองค์จะทรงนำงานนี้ไปสู่ทิศทางทางไหน จะให้ตนก้าวไป ณ ที่ใด
ในปัจจุบันนี้เราคงต้องมีวิธีการการเป็นผู้นำใหม่
ซึ่งแท้จริงมีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา อย่างเช่น แม่ชีเทเรซา มิชชันนารีที่ติดตามพระคริสต์
แล้วใช้ชีวิตของตนเองละลายเข้าเป็นชีวิตเดียวกันกับผู้ยากไร้ ทุกข์ยาก
ลำบาก เป็นชีวิตที่สำแดงถึงความล้ำลึกแห่งชีวิตในการรับใช้ มากกว่าการแสดงออกถึงชีวิตที่มีวินัยและประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำแบบมีอำนาจบาตรใหญ่ในการสั่งการและบีบคั้น
ในสังคมวัฒนธรรมปัจจุบันของเรา
การเป็นคนที่ติดตามคนอื่นนั้นมิใช่สิ่งที่น่าสนใจหรือมีคุณค่าอะไร
เพราะท่าทีของการรับใช้พระคริสต์จะต้องเป็นคนที่มีชีวิตรับใช้คนอื่น
มิใช่มุ่งแต่ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สูงขึ้น แต่การเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์เป็นการที่ถ่อมตัวลงสู่การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนสามัญชั้นล่าง
ภายหลังที่คุณอรสา(ชื่อสมมติ)
ได้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักของผู้คน เขาได้เข้ามาเป็นรองอธิการบดีในมหาวิทยาลัยคริสเตียนแห่งหนึ่ง เธอใช้เวลาสิบปีในการทำงานในสถาบันอุดมศึกษาของคริสตชนแห่งนั้น รับใช้ด้วยความสัตย์ซื่อ มีวินัยชีวิต
เป็นผู้ที่รับฟังทั้งนักศึกษา
เพื่อนคณาจารย์ เพื่อนร่วมงาน และคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย
จนเธอได้รับการยกย่องให้เป็นบุคลากรดีเด่นที่ได้รับความไว้วางใจและบุคลากรตัวอย่างแห่งปี
ด้วยการทุ่มเทอุตสาหะพากเพียรในงานรับใช้ดังกล่าว
ขั้นต่อไปที่เธอจะได้รับในอนาคตคือ อธิการบดีของมหาวิทยาลัย แต่เพราะชีวิตและผลงานของเธอเป็นที่รู้ชัดของสังคม ในเวลานั้นได้มีมีคำเชิญชวนให้เธอสมัครเป็นผู้บริหารระดับสูงในสถาบันอุดมศึกษาอีกแห่งหนึ่ง เธอนิ่ง สงบ แล้วค่อยๆ พิจารณา แต่ถ้าเป็นคนอื่นส่วนมากแล้วคงคว้าหมับทันที
เพราะโอกาสสุดยอดเยี่ยมเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นได้ง่ายนัก
แต่การที่อรสาเดินทางก้าวสู่การเป็นอธิการบดีในอนาคตนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่นำหน้าเธอในการตัดสินใจเรื่องนี้คือ
“เธอเดินติดตามพระเจ้า”
เธอตัดสินใจอย่างมั่นคงว่า
ตนเองจะไม่ก้าวออกไปซ้ายหรือขวาจากเส้นทางด้วยการเพ่งมองว่า
“พระเจ้าทรงนำเธอไปยังที่ใด”
เธอสัตย์ซื่อต่อเพื่อนร่วมงานของเธอ
ต่ออธิการบดีของเธอ ต่อมหาวิทยาลัย ที่เธอได้ร่วมหัวจมท้ายร่วมทุกข์ยากลำบากฝ่าฟันงานมาด้วยกัน ในสถานการณ์เหล่านั้นที่ได้บ่มเพาะ เสริมสร้างเธอ ทั้งชีวิตจิตวิญญาณของเธอให้เข้มแข็งขึ้น
ในการติดตามพระเจ้าทั้งในชีวิตและการงานที่เธอรับผิดชอบ
เธอระมัดระวังที่จะไม่ตกลงในกับดักระหว่างทาง หรือเฉไฉหันเหออกจากเส้นทางการติดตามพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งโน้มน้าว ล่อลวง ตำแหน่งที่มั่นคงสูงส่ง รายได้และผลประโยชน์ที่เหนือกว่าที่เธอกำลังได้รับ และนี่คืออรสา!
เธอกล่าวว่า “การติดตามพระเยซูคริสต์ หมายถึงการที่เกาะติดแน่นกับพระองค์เป็นประจำ”
(มิใช่เพียงบางครั้งบางโอกาสเท่านั้น)
และการเป็นผู้นำที่ยอมติดตามพระคริสต์มิใช่เป็นสิ่งที่คนในวัฒนธรรมปัจจุบันจะนิยมชมชอบ ทำไมเมื่อเป็นผู้นำแล้วเราจะต้องเดินตาม “ก้น”
คนบางคน
คริสตชนน้อยคนนักที่ค้นพบของประทานในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประทานในการเป็นผู้ติดตาม
แต่อรสาที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างสูงได้ตอบปฏิเสธต่อข้อเสนอที่น่าโอชะท้าชวนข้างหน้า จนกว่าที่เธอจะเห็นว่า
“การทรงนำของพระเจ้าเป็นอย่างอื่น”
เธอถึงจะติดตามพระองค์ไปในทางที่ทรงนำ
การที่จะมีผู้นำที่มีความคิดเดียวใจเดียวในความรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเราต้องการผู้นำที่มีความสัตย์ซื่อรับผิดชอบต่องานที่เขาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า
และพระองค์ทรงเสริมสร้างผู้นำคนนั้นตลอดระยะทางของการรับใช้ ด้วยการทรงประทานเครื่องไม้เครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการรับใช้ตามการทรงเรียกของพระองค์ เขาคนนั้นจึงมีความเป็นผู้นำที่เรียนรู้เติบโตขึ้นจากการติดตามพระคริสต์และการรับใช้พระองค์
สิ่งที่ผู้นำ ผู้บริหารคริสตชนจะต้องระมัดระวังอย่างมากคือ การอ้างสิทธิพิเศษในการเป็นผู้นำของตนที่พระเจ้าทรงเลือก และบอกคนอื่นว่าตนนำด้วยการติดตามพระเจ้า แต่ทุกวันทุกงานของเขาเดินตามแผนกลยุทธ์ที่เขาคิดและวางแผนเอง
เขาทำตามวิธีการและขั้นตอนที่ตนปรารถนาและคิดว่าดีเยี่ยม จนลืมสิ่งสำคัญที่มากกว่าแผนกลยุทธ์ของเขาคือ ความรักเมตตาแบบพระคริสต์ในการนำและบริหาร ความถ่อมตนถ่อมใจที่จะนำด้วยการรับใช้ แล้วผู้นำหรือนักบริหารคนนั้นลืมส่วนสำคัญที่ต้องเป็น
“ยาดำ” ในการนำและบริหารของตนคือ
การมีพลังและอิทธิพลของความเชื่อศรัทธาแทรกซึมในทุกอณูของการบริการจัดการและการนำของตน
ส่วนหนึ่งของปัญหาร้ายแรงของผู้นำและผู้บริหารคริสตชนในปัจจุบันคือ การที่ผู้นำผู้บริหารเหล่านี้ติดลมหลงใหลไปกับความหรูหราในชีวิตการเป็นผู้นำผู้บริหาร จนหลงลืมและไม่สนใจผู้ที่ทรงนำที่นำเขาอยู่ข้างหน้า
ดร. มาร์ติน ลูเธอร์
คิงส์ จูเนีย เคยกล่าวไว้ในคำเทศนาของท่านว่า
“เราทุกคนต่างต้องการที่จะเป็นคนที่สำคัญ
ต้องการแซงหน้าคนอื่น
ต้องการก้าวหน้ากว่าคนอื่น
เราต้องการเป็นคนนำหน้าขบวน...”
แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำหรือผู้บริหารคริสตชนปล่อยตัวปล่อยใจละเลยวินัยการเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์ เมื่อนั้นชีวิตของผู้นำผู้บริหารคนนั้นก็จะเกิดช่องโหว่รูรั่วให้กับอำนาจแห่งความโลภ หยิ่งผยอง
และความคิดการทำร้ายทำลายผู้อื่นเข้ามามีอิทธิพลครอบงำความคิด การนำ
การบริหารของคนๆ นั้น เมื่อนั้น
ผู้นำผู้บริหารคริสตชนคนนั้นก็จะใช้อำนาจตามตำแหน่งอย่างบิดเบือน แล้วทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ
ที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจใฝ่ต่ำทั้งโลภ
ผยอง กอบโกยผลประโยชน์เพื่อตน... เขานำองค์กรของพระเจ้าดิ่งจมลงสู่อคติที่น่าเศร้า และที่น่าเศร้าที่สุดคือผู้นำผู้บริหารคริสตชนคนนั้นนำและกระทำต่อคนอื่นอย่างไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นคนตามที่พระเจ้าทรงสร้าง
ผู้นำผู้บริหารคริสตชนในปัจจุบัน คงต้องถอยหลังไปเรียนรู้จากผู้นำคริสตชนในอดีต ผู้นำผู้บริหารเหล่านั้นได้นำองค์กรของพระเจ้าอย่างมุ่งติดตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแม่ชีเทเรซา มาร์ติน ลูเธอร์คิงส์ จูเนีย ผู้นำทางจิตวิญญาณในยุคต่างๆ
มิชชันนารีในอดีตที่นำสิ่งที่ดีที่สุดจากพระเจ้าไปถึงคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุดในสังคม ผู้นำคริสตชนเหล่านี้ได้เผยถึงชีวิตที่ล้ำลึกในการรับใช้ประชาชนตามการทรงนำของพระเจ้า
ตัวอย่างจิตวิญญาณของผู้นำคริสตชนในอดีตน่าจะเป็นพลังกระตุ้นจินตนาภาพของภาวะผู้นำคริสตชนในปัจจุบัน ให้หยั่งรากลงลึกการเป็นผู้นำในความเชื่อศรัทธา
พระวจนะ และพระประสงค์ของพระเจ้า
เพื่อผู้นำคริสตชนเหล่านี้จะได้เสริมสร้างผู้นำคริสตชนรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นเป็นผู้นำคริสตชนที่ติดตามการทรงนำของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด
และมุ่งมั่นในการเสริมสร้างพลังแห่งชีวิตชุมชนร่วมกัน
เป็นพลังชุมชนแห่งการเอาใจใส่เกื้อหนุนค้ำจุนกันและกัน เป็นชุมชนที่ทุกคนให้กับชุมชนในสิ่งที่ตนมีอย่างเต็มกำลัง
เป็นชีวิตและการรับใช้ที่หยั่งรากลึกลงในจิตวิญญาณแห่งการรับใช้แบบพระคริสต์
เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงชักชวนให้ชาวประมง คนเก็บภาษี
และคนอื่นๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสาวกที่ติดตามพระองค์ได้
แต่เมื่อคนกลุ่มนี้ยอมติดตามพระองค์พวกเขาได้เรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความลี้ลับของทางที่แคบและตรงไป
พวกเขามุ่งหน้าติดตามเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์
บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่พลิกฟื้นผันเปลี่ยนแรงบันดาลใจและความทะเยอทะยานของคนทำงานหนักกลุ่มนี้
ที่เปลี่ยนและสร้างเขาจากปุถุชนคนสามัญไปสู่การเป็นผู้นำที่สร้างการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงด้วยความรักเมตตา ถ่อมสุภาพ
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น
และจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความหวัง
ที่แตกต่างจากแรงบันดาลใจของบรรดาผู้นำผู้บริหารทั่วไป
เพราะการมุ่งมั่นติดตามพระคริสต์อย่างใกล้ชิดไม่ลดละ ทำให้ทุกสิ่งในตัวของคนเหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เป้าหมายในชีวิตมิใช่ความปรารถนาส่วนตนของเขาอีกต่อไป
แต่กลับกลายมีเป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือเป็นผู้ร่วมกับพระคริสต์ในการนำมาซึ่งแผ่นดินของพระเจ้า การครอบครองของพระเจ้าในโลกนี้
พวกเขาเลิกที่จะสนใจและให้ความสำคัญต่อปลาที่เขาจะจับได้ และขายได้เงินเท่าใดในตลาด หรือ
จำนวนเงินที่เขาจะเก็บค่าภาษีจากประชาชน
แต่คนพวกนี้กลับเอาใจใส่ต่อการฟังและการได้ยิน และเชื่อฟังเสียงของพระอาจารย์คนใหม่ของพวกเขาเมื่อเขาต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างๆ
ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตอบโต้ถกเถียงกับพวกฟาริสีและซาดูสี และคนที่มีอำนาจในสมัยของพระองค์
มิใช่เรื่องว่าเราจะทำอย่างไรที่จะมียุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการเพื่อที่จะให้ได้ผลกำไร
ผลประโยชน์มากมายมหาศาลได้อย่างไร
ทำอย่างไรที่จะบริหารจัดการตัวเลขให้มันดูว่าได้กำไรเพื่อจะแจกโบนัสมากมายในแต่ละปี แต่พระองค์กลับบอกคนทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ด้วยการแบกกางเขนตามพระองค์ไป ด้วยจิตใจแห่งความรักที่เสียสละ
เมตตาและรับใช้บริการโดยมิได้คำนึงถึงสินจ้างรางวัล มีความคิดเดียวใจเดียวคือถวายทั้งชีวิตแด่พระคริสต์ ถ้าพูดสั้น ชัด ฟันธง พระเยซูคริสต์มิได้เรียกผู้คนให้เป็นผู้นำ แต่พระองค์เรียกคนให้ติดตามพระองค์
ชัดเจนว่ามีคนติดตามพระองค์บางคนที่กลายเป็นผู้นำ ไม่ว่าเปโตร เปาโล มัทธิว คนเหล่านี้ค่อยๆกลายเป็นผู้นำ
แต่เป็นผลจากการที่คนเหล่านี้ยอมมอบการถวายชีวิตให้พระองค์ทรงใช้ตามพระประสงค์ และสำหรับเปาโลแล้วชีวิตทั้งชีวิตของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นความคิด มุมมองในชีวิต
ท่าที อุปนิสัยใจคอ เป้าหมายในชีวิต
และการกระทำในชีวิตถูกเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้นเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
เปาโลชักชวนคนอื่นให้มีชีวิต
“ติดตามตนอย่างที่ตนเองติดตามพระคริสต์”
เปาโลรู้ถึงอันตรายที่ยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่และชื่อเสียง จึงมุ่งติดตามพระคริสต์
และมีความคิดความเชื่อเดียวที่ยืนหยัดไว้วางใจในพระองค์
แล้วมุ่งดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
วันนี้ให้เราเป็นผู้นำด้วยการเป็นผู้ตามพระคริสต์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น