17 กรกฎาคม 2556

เป็นผู้นำด้วยการเป็นผู้ตาม

ในสังคมที่ยกย่องให้ความสำคัญแก่คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ  คนที่มีชื่อเสียง  หรือคนที่เด่นดังอยู่ในแนวหน้ายากนักที่เขาคนนั้นจะยอมเป็นคนที่จะตามคนอื่น 

Jo Kadlecheck ได้เขียนไว้ว่า  “การที่ใครเป็นคนที่ติดตาม   คนนั้นยืนอยู่บนทางแยก   แล้วมุ่งมองว่าถ้าจะมุ่งติดตามพระคริสต์เขาจะต้องมุ่งไปสู่ทิศทางใด   แล้วติดตามพระองค์ไปบนเส้นทางนั้น   ในทุกก้าวที่ติดตามไป   จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาคนนั้นต้องยอมละทิ้งอำนาจบาตรใหญ่  และเลิกที่จะคอยควบคุมอยู่เหนือคนอื่น   แล้วใครล่ะจะต้องการทำเช่นนั้น?”

อย่างไรก็ตาม หัวใจของการมีชีวิตคริสตชนคือการที่มีชีวิตติดตามพระคริสต์   Jo Kadlecheck บอกว่าบางครั้งเขาแปลกประหลาดใจว่า    มีคนบอกว่าตนเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  แต่บางครั้งคนนั้นเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์อย่างมืดบอด   มุ่งติดตามแต่แผนกลยุทธ์และเป้าหมายองค์กรที่ตนวางไว้   แทนที่จะทูลถามพระคริสต์ด้วยความถ่อมใจว่า   พระองค์จะทรงนำงานนี้ไปสู่ทิศทางทางไหน   จะให้ตนก้าวไป ณ ที่ใด  

ในปัจจุบันนี้เราคงต้องมีวิธีการการเป็นผู้นำใหม่   ซึ่งแท้จริงมีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา   อย่างเช่น แม่ชีเทเรซา  มิชชันนารีที่ติดตามพระคริสต์  แล้วใช้ชีวิตของตนเองละลายเข้าเป็นชีวิตเดียวกันกับผู้ยากไร้ ทุกข์ยาก ลำบาก    เป็นชีวิตที่สำแดงถึงความล้ำลึกแห่งชีวิตในการรับใช้   มากกว่าการแสดงออกถึงชีวิตที่มีวินัยและประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำแบบมีอำนาจบาตรใหญ่ในการสั่งการและบีบคั้น

ในสังคมวัฒนธรรมปัจจุบันของเรา   การเป็นคนที่ติดตามคนอื่นนั้นมิใช่สิ่งที่น่าสนใจหรือมีคุณค่าอะไร   เพราะท่าทีของการรับใช้พระคริสต์จะต้องเป็นคนที่มีชีวิตรับใช้คนอื่น   มิใช่มุ่งแต่ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สูงขึ้น   แต่การเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์เป็นการที่ถ่อมตัวลงสู่การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนสามัญชั้นล่าง

ภายหลังที่คุณอรสา(ชื่อสมมติ) ได้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักของผู้คน   เขาได้เข้ามาเป็นรองอธิการบดีในมหาวิทยาลัยคริสเตียนแห่งหนึ่ง   เธอใช้เวลาสิบปีในการทำงานในสถาบันอุดมศึกษาของคริสตชนแห่งนั้น   รับใช้ด้วยความสัตย์ซื่อ  มีวินัยชีวิต  เป็นผู้ที่รับฟังทั้งนักศึกษา  เพื่อนคณาจารย์  เพื่อนร่วมงาน  และคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย   จนเธอได้รับการยกย่องให้เป็นบุคลากรดีเด่นที่ได้รับความไว้วางใจและบุคลากรตัวอย่างแห่งปี

ด้วยการทุ่มเทอุตสาหะพากเพียรในงานรับใช้ดังกล่าว ขั้นต่อไปที่เธอจะได้รับในอนาคตคือ อธิการบดีของมหาวิทยาลัย   แต่เพราะชีวิตและผลงานของเธอเป็นที่รู้ชัดของสังคม   ในเวลานั้นได้มีมีคำเชิญชวนให้เธอสมัครเป็นผู้บริหารระดับสูงในสถาบันอุดมศึกษาอีกแห่งหนึ่ง   เธอนิ่ง สงบ แล้วค่อยๆ พิจารณา   แต่ถ้าเป็นคนอื่นส่วนมากแล้วคงคว้าหมับทันที   เพราะโอกาสสุดยอดเยี่ยมเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นได้ง่ายนัก   แต่การที่อรสาเดินทางก้าวสู่การเป็นอธิการบดีในอนาคตนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่นำหน้าเธอในการตัดสินใจเรื่องนี้คือ  “เธอเดินติดตามพระเจ้า”

เธอตัดสินใจอย่างมั่นคงว่า  ตนเองจะไม่ก้าวออกไปซ้ายหรือขวาจากเส้นทางด้วยการเพ่งมองว่า “พระเจ้าทรงนำเธอไปยังที่ใด”  เธอสัตย์ซื่อต่อเพื่อนร่วมงานของเธอ  ต่ออธิการบดีของเธอ ต่อมหาวิทยาลัย ที่เธอได้ร่วมหัวจมท้ายร่วมทุกข์ยากลำบากฝ่าฟันงานมาด้วยกัน   ในสถานการณ์เหล่านั้นที่ได้บ่มเพาะ  เสริมสร้างเธอ ทั้งชีวิตจิตวิญญาณของเธอให้เข้มแข็งขึ้น ในการติดตามพระเจ้าทั้งในชีวิตและการงานที่เธอรับผิดชอบ   เธอระมัดระวังที่จะไม่ตกลงในกับดักระหว่างทาง  หรือเฉไฉหันเหออกจากเส้นทางการติดตามพระเจ้า   ไม่ว่าจะเป็นสิ่งโน้มน้าว  ล่อลวง  ตำแหน่งที่มั่นคงสูงส่ง   รายได้และผลประโยชน์ที่เหนือกว่าที่เธอกำลังได้รับ   และนี่คืออรสา!

เธอกล่าวว่า  “การติดตามพระเยซูคริสต์  หมายถึงการที่เกาะติดแน่นกับพระองค์เป็นประจำ” (มิใช่เพียงบางครั้งบางโอกาสเท่านั้น)    และการเป็นผู้นำที่ยอมติดตามพระคริสต์มิใช่เป็นสิ่งที่คนในวัฒนธรรมปัจจุบันจะนิยมชมชอบ   ทำไมเมื่อเป็นผู้นำแล้วเราจะต้องเดินตาม “ก้น” คนบางคน

คริสตชนน้อยคนนักที่ค้นพบของประทานในตนเอง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประทานในการเป็นผู้ติดตาม      แต่อรสาที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างสูงได้ตอบปฏิเสธต่อข้อเสนอที่น่าโอชะท้าชวนข้างหน้า   จนกว่าที่เธอจะเห็นว่า “การทรงนำของพระเจ้าเป็นอย่างอื่น”   เธอถึงจะติดตามพระองค์ไปในทางที่ทรงนำ

การที่จะมีผู้นำที่มีความคิดเดียวใจเดียวในความรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง   แน่นอนว่าเราต้องการผู้นำที่มีความสัตย์ซื่อรับผิดชอบต่องานที่เขาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า  และพระองค์ทรงเสริมสร้างผู้นำคนนั้นตลอดระยะทางของการรับใช้   ด้วยการทรงประทานเครื่องไม้เครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการรับใช้ตามการทรงเรียกของพระองค์   เขาคนนั้นจึงมีความเป็นผู้นำที่เรียนรู้เติบโตขึ้นจากการติดตามพระคริสต์และการรับใช้พระองค์

สิ่งที่ผู้นำ  ผู้บริหารคริสตชนจะต้องระมัดระวังอย่างมากคือ   การอ้างสิทธิพิเศษในการเป็นผู้นำของตนที่พระเจ้าทรงเลือก   และบอกคนอื่นว่าตนนำด้วยการติดตามพระเจ้า   แต่ทุกวันทุกงานของเขาเดินตามแผนกลยุทธ์ที่เขาคิดและวางแผนเอง   เขาทำตามวิธีการและขั้นตอนที่ตนปรารถนาและคิดว่าดีเยี่ยม   จนลืมสิ่งสำคัญที่มากกว่าแผนกลยุทธ์ของเขาคือ  ความรักเมตตาแบบพระคริสต์ในการนำและบริหาร   ความถ่อมตนถ่อมใจที่จะนำด้วยการรับใช้   แล้วผู้นำหรือนักบริหารคนนั้นลืมส่วนสำคัญที่ต้องเป็น “ยาดำ” ในการนำและบริหารของตนคือ   การมีพลังและอิทธิพลของความเชื่อศรัทธาแทรกซึมในทุกอณูของการบริการจัดการและการนำของตน

ส่วนหนึ่งของปัญหาร้ายแรงของผู้นำและผู้บริหารคริสตชนในปัจจุบันคือ   การที่ผู้นำผู้บริหารเหล่านี้ติดลมหลงใหลไปกับความหรูหราในชีวิตการเป็นผู้นำผู้บริหาร   จนหลงลืมและไม่สนใจผู้ที่ทรงนำที่นำเขาอยู่ข้างหน้า

ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนีย เคยกล่าวไว้ในคำเทศนาของท่านว่า “เราทุกคนต่างต้องการที่จะเป็นคนที่สำคัญ   ต้องการแซงหน้าคนอื่น   ต้องการก้าวหน้ากว่าคนอื่น   เราต้องการเป็นคนนำหน้าขบวน...”

แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำหรือผู้บริหารคริสตชนปล่อยตัวปล่อยใจละเลยวินัยการเป็นผู้นำที่ติดตามพระคริสต์   เมื่อนั้นชีวิตของผู้นำผู้บริหารคนนั้นก็จะเกิดช่องโหว่รูรั่วให้กับอำนาจแห่งความโลภ  หยิ่งผยอง  และความคิดการทำร้ายทำลายผู้อื่นเข้ามามีอิทธิพลครอบงำความคิด การนำ การบริหารของคนๆ นั้น   เมื่อนั้น ผู้นำผู้บริหารคริสตชนคนนั้นก็จะใช้อำนาจตามตำแหน่งอย่างบิดเบือน   แล้วทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจใฝ่ต่ำทั้งโลภ  ผยอง  กอบโกยผลประโยชน์เพื่อตน...   เขานำองค์กรของพระเจ้าดิ่งจมลงสู่อคติที่น่าเศร้า   และที่น่าเศร้าที่สุดคือผู้นำผู้บริหารคริสตชนคนนั้นนำและกระทำต่อคนอื่นอย่างไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นคนตามที่พระเจ้าทรงสร้าง

ผู้นำผู้บริหารคริสตชนในปัจจุบัน  คงต้องถอยหลังไปเรียนรู้จากผู้นำคริสตชนในอดีต  ผู้นำผู้บริหารเหล่านั้นได้นำองค์กรของพระเจ้าอย่างมุ่งติดตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิด   ไม่ว่าจะเป็นแม่ชีเทเรซา   มาร์ติน ลูเธอร์คิงส์ จูเนีย  ผู้นำทางจิตวิญญาณในยุคต่างๆ   มิชชันนารีในอดีตที่นำสิ่งที่ดีที่สุดจากพระเจ้าไปถึงคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุดในสังคม   ผู้นำคริสตชนเหล่านี้ได้เผยถึงชีวิตที่ล้ำลึกในการรับใช้ประชาชนตามการทรงนำของพระเจ้า

ตัวอย่างจิตวิญญาณของผู้นำคริสตชนในอดีตน่าจะเป็นพลังกระตุ้นจินตนาภาพของภาวะผู้นำคริสตชนในปัจจุบัน   ให้หยั่งรากลงลึกการเป็นผู้นำในความเชื่อศรัทธา พระวจนะ และพระประสงค์ของพระเจ้า   เพื่อผู้นำคริสตชนเหล่านี้จะได้เสริมสร้างผู้นำคริสตชนรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นเป็นผู้นำคริสตชนที่ติดตามการทรงนำของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด   และมุ่งมั่นในการเสริมสร้างพลังแห่งชีวิตชุมชนร่วมกัน   เป็นพลังชุมชนแห่งการเอาใจใส่เกื้อหนุนค้ำจุนกันและกัน   เป็นชุมชนที่ทุกคนให้กับชุมชนในสิ่งที่ตนมีอย่างเต็มกำลัง   เป็นชีวิตและการรับใช้ที่หยั่งรากลึกลงในจิตวิญญาณแห่งการรับใช้แบบพระคริสต์

เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงชักชวนให้ชาวประมง  คนเก็บภาษี  และคนอื่นๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสาวกที่ติดตามพระองค์ได้   แต่เมื่อคนกลุ่มนี้ยอมติดตามพระองค์พวกเขาได้เรียนรู้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ความลี้ลับของทางที่แคบและตรงไป   พวกเขามุ่งหน้าติดตามเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์   บางสิ่งบางอย่างในชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่พลิกฟื้นผันเปลี่ยนแรงบันดาลใจและความทะเยอทะยานของคนทำงานหนักกลุ่มนี้   ที่เปลี่ยนและสร้างเขาจากปุถุชนคนสามัญไปสู่การเป็นผู้นำที่สร้างการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงด้วยความรักเมตตา  ถ่อมสุภาพ  ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น  และจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความหวัง   ที่แตกต่างจากแรงบันดาลใจของบรรดาผู้นำผู้บริหารทั่วไป

เพราะการมุ่งมั่นติดตามพระคริสต์อย่างใกล้ชิดไม่ลดละ   ทำให้ทุกสิ่งในตัวของคนเหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลง   เป้าหมายในชีวิตมิใช่ความปรารถนาส่วนตนของเขาอีกต่อไป   แต่กลับกลายมีเป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือเป็นผู้ร่วมกับพระคริสต์ในการนำมาซึ่งแผ่นดินของพระเจ้า  การครอบครองของพระเจ้าในโลกนี้   พวกเขาเลิกที่จะสนใจและให้ความสำคัญต่อปลาที่เขาจะจับได้  และขายได้เงินเท่าใดในตลาด  หรือ  จำนวนเงินที่เขาจะเก็บค่าภาษีจากประชาชน   แต่คนพวกนี้กลับเอาใจใส่ต่อการฟังและการได้ยิน  และเชื่อฟังเสียงของพระอาจารย์คนใหม่ของพวกเขาเมื่อเขาต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตอบโต้ถกเถียงกับพวกฟาริสีและซาดูสี   และคนที่มีอำนาจในสมัยของพระองค์   มิใช่เรื่องว่าเราจะทำอย่างไรที่จะมียุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการเพื่อที่จะให้ได้ผลกำไร ผลประโยชน์มากมายมหาศาลได้อย่างไร    ทำอย่างไรที่จะบริหารจัดการตัวเลขให้มันดูว่าได้กำไรเพื่อจะแจกโบนัสมากมายในแต่ละปี   แต่พระองค์กลับบอกคนทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ด้วยการแบกกางเขนตามพระองค์ไป  ด้วยจิตใจแห่งความรักที่เสียสละ   เมตตาและรับใช้บริการโดยมิได้คำนึงถึงสินจ้างรางวัล   มีความคิดเดียวใจเดียวคือถวายทั้งชีวิตแด่พระคริสต์   ถ้าพูดสั้น ชัด ฟันธง   พระเยซูคริสต์มิได้เรียกผู้คนให้เป็นผู้นำ  แต่พระองค์เรียกคนให้ติดตามพระองค์

ชัดเจนว่ามีคนติดตามพระองค์บางคนที่กลายเป็นผู้นำ  ไม่ว่าเปโตร เปาโล มัทธิว คนเหล่านี้ค่อยๆกลายเป็นผู้นำ   แต่เป็นผลจากการที่คนเหล่านี้ยอมมอบการถวายชีวิตให้พระองค์ทรงใช้ตามพระประสงค์   และสำหรับเปาโลแล้วชีวิตทั้งชีวิตของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นความคิด  มุมมองในชีวิต  ท่าที  อุปนิสัยใจคอ  เป้าหมายในชีวิต  และการกระทำในชีวิตถูกเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้นเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า

เปาโลชักชวนคนอื่นให้มีชีวิต “ติดตามตนอย่างที่ตนเองติดตามพระคริสต์”   เปาโลรู้ถึงอันตรายที่ยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่และชื่อเสียง   จึงมุ่งติดตามพระคริสต์   และมีความคิดความเชื่อเดียวที่ยืนหยัดไว้วางใจในพระองค์   แล้วมุ่งดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

วันนี้ให้เราเป็นผู้นำด้วยการเป็นผู้ตามพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น