“ฉันนะรักมนุษย์...แต่ฉันทนไม่ได้กับมนุษย์...”
คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงว่า
ในทางทฤษฎีความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นเริ่มต้นจากสิ่งที่น่าชื่นชม และในความเป็นจริงความสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากก็ได้ แต่ไม่มีสิ่งใดที่ให้ความสำเร็จในชีวิตได้มากเท่ากับการที่เราสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้
แต่ก็ไม่มีอะไรที่สร้างความลำบากยุ่งเหยิงยิ่งไปกว่าเมื่อความสัมพันธ์ต้องพบกับความขัดแย้ง แต่ก็แน่นอนครับ ในการเผชิญรับมือกับความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งมีทั้งวิธีการที่เสริมสร้าง
และ แนวทางที่ทำลาย มีแนวทาง 10 ประการที่ขอแบ่งปันในเรื่องนี้
1. เชื่อในหลักการ 101%
หลักการ 101% คือ
ในความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง “ขอให้ท่านหาพบสิ่งที่ท่านเห็นด้วยกับคู่กรณีเพียง
1% แต่ให้กำลังความพยายามทุ่มเทของท่าน 100%”
Cullen Hightowerเคยเขียนไว้ว่า
“มีเรื่องมากมายที่เราถกเถียงกัน
แต่มีน้อยเรื่องนักที่เราเห็นพ้องกัน”
สิ่งแรกที่เป็นการตอบสนองที่ดีที่สุดเมื่อความสัมพันธ์ของเรา
เกิดความขัดแย้ง คือท่านทุ่มเทค้นหาในส่วนที่ต่างฝ่ายต่างเห็นด้วยกันก่อน
ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ความขัดแย้งสามารถมุ่งหน้าขับเคลื่อนไปสู่ข้อสรุป
2. รักคนมากกว่ารักความคิดเห็น
ท่านเคยพบคนที่ทำตรงกันข้ามกับข้อความข้างต้นบ้างไหม?
แล้วเขาคนนั้นต้องพบกับความขัดแย้งในชีวิตมากน้อยแค่ไหน? สำหรับผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่รักความคิดเห็นของตนเองมากกว่าความคิดเห็นของเพื่อน
เขาคนนั้นจะปกป้องความคิดเห็นของตนและทำลายมิตรภาพของเขา
ให้เราให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพมากกว่าและเหนือกว่าประเด็นที่เราถกเถียงขัดแย้ง กล่าวคือเราจะไม่ปกป้องความคิดความเห็นของเราเป็นสิ่งที่ความสำคัญที่สุดแต่การปกป้องความคิดความเชื่อของเราเป็นการ
“ย่ำยี” ความสัมพันธ์และ “หัวใจ” คนที่เราสัมพันธ์สื่อสารด้วย แล้วท่านจะรักษาช่องทางที่เขาจะสื่อสารสัมพันธ์กับเพื่อนของท่านไว้ได้อย่างไร? และเมื่อช่องทางสื่อสารสัมพันธ์ถูกตัดหรืออุดตันความขัดแย้งก็จะรุนแรงขึ้น ดังนั้น
ให้เรารักคนมากกว่ารักความคิดครับ
3. ยกประโยชน์แก่คู่ขัดแย้งในเรื่องที่สงสัย
เมื่อเราจะต้องจัดการตนเองให้เราจัดการด้วย
“หัว” หรือ “สมอง” ของเรา
แต่ถ้าเราจะต้องรับมือหรือจัดการผู้อื่นให้เรากระทำด้วย “หัวใจ”
ของเรา แต่โดยทั่วไปแล้วคนส่วนมากทำตรงกันข้ามตามที่กล่าว
ขอให้เราหลีกเลี่ยงกับดักดังกล่าวที่ไปคาดหวังความสมบูรณ์แบบในตัวคนอื่น
ให้เราคิดก่อนว่าคนที่เรามีความขัดแย้งด้วยมีความตั้งใจดี
การทำเช่นนี้จะช่วยลดความแรงจากอาการการปกป้องตนเอง ทำให้ทั้งสองฝ่ายพยายามมุ่งไปสู่การแก้ปัญหาที่มีอยู่ข้างหน้านั้น
4. เรียนรู้ที่จะเป็นคนยืดหยุ่น
คำกล่าวที่รู้จักกันดีของ Thomas
Jefferson ว่า
“ในเรื่องของหลักการ
จงยืนมั่นคงดั่งศิลา
แต่ถ้าเป็นเรื่องของความพอใจ
จงปล่อยตัวไปตามกระแส”
ให้ถามตัวเราในคำถามที่สำคัญสองประการดังนี้ “สิ่งที่เรากำลังเอาเป็นเอาตายในความขัดแย้งจะสร้างความแตกต่างจากที่เป็นอยู่ปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน?” และ
“เราจะต้องห่วงกังวลในเรื่องที่เราขัดแย้งกันในพรุ่งนี้หรือไม่?” ถ้าคำตอบคือ “ไม่” ให้เราประนีประนอมหรือออมชอมกันเถิด
5. เปิดทางออกให้คู่ขัดแย้ง
ในการรับมือกับความโกรธของลูกค้าที่มารับบริการ
หลายบริษัทได้ให้หลักการสำคัญแก่ลูกน้องของตนเองว่า “ต้องไม่ทำให้ลูกค้าเสียหน้า” เพราะบ่อยครั้งคนให้บริการในบริษัทมุ่งเน้นที่จะเอาชนะด้วยการพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ผิดแต่ลูกค้าเป็นฝ่ายผิด เป็นเหมือนการต้อนให้ลูกค้าจนมุม แต่หลักการของเขาคือ ไม่ทำให้ลูกค้าต้องเสียหน้า ในความขัดแย้งเราต้องเปิดทางออกให้คู่ขัดกรณี
6. ตรวจสอบมุมมองทัศนคติของตนเอง
โดยปกติเรามักคิดเช่นนี้ว่า จันทรามีปัญหากับประพันธ์ และจันทราก็มีปัญหากับเกษม แล้ว จันทราก็มีปัญหากับเสมอใจ ถ้าอย่างนี้จันทราคงเป็นตัวปัญหา เมื่อเรามองเช่นนี้และบังเอิญเราต้องไปมีความขัดแย้งกับ
จันทรา
และก็จะด่วนสรุปเหมารวมเอาว่า
จันทราเป็นตัวปัญหาในความขัดแย้งกับเราครั้งนี้ แต่เราน่าจะตรวจสอบตนเองว่า ในความสัมพันธ์ของเราเองกับคนอื่นเกิดความขัดแย้งบ่อยครั้งหรือไม่? อาจจะเป็นการดีที่เราจะตรวจสอบ มองตนเองในกระจกว่า เรามีทัศนคติหรือมุมมองอะไรหรือไม่ที่เป็นสาเหตุก่อเกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
7. อย่าทำเกินกว่าเหตุ (เวอร์)
เมื่อเกิดความขัดแย้ง สำคัญมากที่เราจะรักษามุมมอง และ
การตอบโต้ของเราต่อความขัดแย้งนั้นอย่างเหมาะสม
จริงๆ แล้วประเด็นความขัดแย้งนั้นใหญ่โตแค่ไหน?
ปฏิกิริยาหรือการตอบโต้ของท่านสอดคล้องเหมาะสมกับความรุนแรง และกับประเด็นความขัดแย้งนั้นหรือไม่? ถ้าไม่
เราอาจจะต้องจัดการกับการตอบสนองของเราต่อความขัดแย้งนั้น หรือ ให้ทบทวนตรวจสอบถึงการตอบโต้ของเราในอดีตที่ผ่านมาด้วย เพราะถ้าเราตอบโต้ด้วยความขัดแย้งรุนแรงเกินกว่าเหตุ มันจะพาให้การตอบโต้ของเราคลาดเคลื่อนไปจากประเด็นความขัดแย้งที่เป็นจริงของเรา สิ่งนี้เราจะต้องจัดการแก้ไขตนเอง
8.
อย่ามุ่งแต่เป็นคนที่ปกป้องตนเอง
ในทางกลับกัน เรามักเกิดความรู้สึกว่า
ความขัดแย้งทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกันตนเองเลย แทนที่ปัญหาความขัดแย้งจะได้รับการแก้ไขจากทั้งสองฝ่าย เราจะเริ่มเล่นเกม “หาแพะ” รับบาป เพื่อจะโยนความผิดไปให้คนอื่น
ให้เราหลีกเลี่ยงอาการเช่นนั้นเมื่อเกิดปัญหาและความขัดแย้ง แล้วเราจะมีมุมมองโปร่งใสชัดเจนขึ้นที่จะรับมือกับปัญหาด้วยเหตุด้วยผลที่เหมาะสม
9. อ้ามือรับความขัดแย้ง
ถึงแม้เราจะพยายามมากเพียงใดที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่เราก็ยังประสบพบเจอการขัดแย้งกับผู้คนอยู่ เพราะเขาไม่ได้เหมือนกับเรา เขามีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างจากเรา มีความเชื่อ
ความปรารถนาที่แตกต่างจากเรา
ดังนั้นเขาย่อมจะไม่เห็นด้วยกับเราได้และอาจจะเข้าใจผิดได้อีกด้วย แทนที่เราจะวิ่งหนีจากความขัดแย้ง หรือ ตอบสนองต่อความขัดแย้งนั้นอย่างขยะแขยงกลัวลาน
แต่ให้เรามุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้นด้วยกันและสร้างการเรียนรู้ชีวิตด้วยกัน เราคงต้องเลือกว่า เราจะให้ความขัดแย้งทำให้เราเป็นแผลในกระเพาะ
หรือ ความเข้าใจชีวิตในมุมมองใหม่ๆ
10. ยอมเสี่ยง
ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุด
เมื่อพบกับสถานการณ์ที่ที่มีแนวโน้มจะเกิดความขัดแย้ง อาจจะทำให้เราคิดที่จะไม่ไปสุงสิงสัมพันธ์และไว้วางใจคู่กรณีความขัดแย้งต่อไป ทั้งนี้ลึกๆ เราบอกกับตนเองว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่เราจะได้รับ แต่ความจริงก็คือว่า
ทุกคนที่เข้าไปในความสัมพันธ์ต่างก็ได้รับความเจ็บปวดทั้งสิ้น ให้เราตัดสินใจว่า เรายอมที่จะเสี่ยงที่อาจจะได้รับความเจ็บปวดในชีวิตแทนที่จะแยกตัวออกห่างจากผู้คน ดังนั้น
เราจึงเลือกที่จะเข้าพบปะสัมพันธ์กับผู้คนด้วยความเต็มใจ และเชื่อในสิ่งดีที่สุดในตัวเขาคนนั้น และไว้วางใจเขา
ความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งที่เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ในชีวิต สำหรับประสบการณ์ 10
ประการข้างต้นนี้ไม่สามารถกล่าวได้ว่าจะสามารถรับมือได้ทั้งหมด แต่พอที่จะใช้เป็นแนวทางสำหรับการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม ที่นำไปสู่การร่วมกันหาทางออกด้วยกัน ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับชัยชนะ
ในทุกความขัดแย้ง พระคริสต์อยู่ร่วมที่นั่นด้วยครับ ปรึกษาและคิดไตร่ตรองกับพระองค์สิครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น