อ่านยากอบ 1:22
การเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ หรือ
เจริญขึ้นในการดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์นั้น
มิได้เกิดขึ้นเพราะเราไปฟังคำเทศนาในวันอาทิตย์ การถวายสิบลด
หรือ ถวายทรัพย์ เท่านั้น
ความจริงที่ปรากฏชัดเจนคือ คริสตชนหลายต่อหลายคนที่ทำเช่นกล่าวนี้ก็ยังเป็นคริสตชนที่เฉื่อยชา อ่อนล้า แคระแกร็น และตีบตันในเส้นทางการดำเนินชีวิตของตน รากฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิต 2
ประการที่เราจะเติบโตขึ้นมีชีวิตที่เหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น คือการเรียนรู้คำสอนจากพระวจนะ ขุดค้นลงลึกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา แล้วนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน
และรากฐานทั้งสองประการนี้เป็นรากฐานเดียวกันที่แยกออกจากกันต่างหากไม่ได้
การเรียนรู้ถึงสัจจะความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเป็นจุดเริ่มแรกที่สำคัญ ที่มิใช่มีเป้าหมายเพียงการเรียนรู้เท่านั้นแต่เป็นการเรียนรู้เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ แนวทาง
หรือ
วิถีชีวิตที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่เราจะต้องเชื่อฟังและกระทำตาม
พระเยซูคริสต์ทรงสอนฝูงชนว่า
“...คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้วถือรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข”
(ลูกา 11:28 มตฐ)
“ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?
(ลูกา 6:46 มตฐ)
แล้วพระเยซูคริสต์ทรงเปรียบเทียบผู้ที่ฟังพระวจนะของพระองค์แล้วดำเนินชีวิตตามที่พระองค์สั่งสอนนั้นว่า
เป็นผู้ที่สร้างบ้านบนรากฐานศิลาที่แข็งแรงมั่นคงว่า “47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเราแล้วทำตาม
เราจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร 48 เขาเป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้าน
เขาขุดลึกลงไปแล้ววางรากฐานอยู่บนศิลา
เมื่อมีน้ำท่วมและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดบ้านนั้น มันก็ไม่หวั่นไหว
เพราะถูกสร้างไว้อย่างมั่นคง” (ลูกา 6:47-48 มตฐ)
และเปาโลยืนยันคำสอนนี้เช่นกัน
“เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น
ไม่ใช่ผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า
คนที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติต่างหากที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม” (โรม 2:13 มตฐ)
แล้วเราจะเรียนรู้ถึงสัจจะความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร? หนทางหนึ่งที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมากคือ การที่คริสตชนแต่ละคนมีวินัยชีวิตในการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นการส่วนตัวเป็นประจำทุกวัน
เพราะเป็นเวลาที่เขาคนนั้นจะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า อ่านพระวจนะ
แล้วใคร่ครวญ
สงบนิ่งรับฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับการทรงเปิดเผยจากพระวิญญาณของพระเจ้า
มีเวลาที่จะสนทนากับพระเจ้าตัวต่อตัวในทุกเรื่องของชีวิต ทูลขอการทรงเปิดเผย และการทรงนำในความรู้ ความเข้าใจ
ความคิดและมุมมองต่างๆในชีวิต ทั้งนี้เพื่อจะได้รับแนวทางการดำเนินชีวิตในวันนั้นจากพระเจ้า
การได้รับการทรงสอน การทรงเปิดเผย
และรู้ถึงสัจจะความจริงและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรานั้นเป็นเหมือนเราได้รับอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตจิตวิญญาณของเรา แต่การที่ชีวิตคริสตชนของเราจะเจริญ เติบโต
เข้มแข็ง และเกิดผลได้นั้น
อาหารแห่งชีวิตนั้นจะต้องได้รับการย่อย
แล้วดูดซึมเข้าทุกอณูของชีวิต
และถูกใช้เป็นพลังในการดำเนินชีวิตในวันนั้น
จากการดำเนินชีวิตตามสัจจะความจริงของพระวจนะทำให้เราได้รับประสบการณ์ชีวิตที่เป็นรูปธรรม และประสบการณ์ตรงเช่นนี้เองที่ทำให้เรียนรู้ถึงสัจจะความจริงในชีวิตคริสตชน
มั่นใจในแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ และในที่สุดกลายเป็นสัจจะที่เราเรียนรู้ แนวทางที่เราสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และโดยกระบวนการนี้ที่เสริมสร้างวินัยชีวิตคริสตชนขึ้นในชีวิตของเรา
ดังนั้น
การฟังคำเทศนาในวันอาทิตย์จากศิษยาภิบาล
การเรียนพระคัมภีร์จากศาสนาจารย์
หรือเข้าไปร่วมกลุ่มอธิษฐานแล้วจะทำให้เราเป็นคริสตชนที่เข้าถึงสัจจะความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเสมอไปหรือ? เพราะผมพบหลายคนต่อหลายคนที่เข้าไปทำอย่างข้างต้นพบว่า
เขาอาจจะรู้ข้อมูลและเรื่องราวคำสอนในพระคัมภีร์มากยิ่งขึ้น อาจจะได้ประกาศนียบัตรจากบทเรียนทางไปรษรีย์หลายใบขึ้น ท่องข้อพระคัมภีร์ได้หลายข้อขึ้น
หรือแม้แต่ได้ประกาศนียบัตรชนะเลิศการแข่งขันพระคัมภีร์ระดับประเทศ ใช่เลยครับ
คนเหล่านี้มีพื้นฐานความรู้เรื่องราวข้อมูลในพระคัมภีร์ที่ดี
แต่ชีวิตของเขาเหล่านี้กลับยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แน่นอนครับ
พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิต
เราจึงต้องให้พระวจนะของพระเจ้าสำแดงออกในวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
ดังนั้น
การเติบโตของชีวิตคริสตชนต้องการมากกว่าการหยิบยื่นเติมใส่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวคำสอนในพระคัมภีร์ลงในความจำ
ในสมอง เท่านั้น
แต่ต้องการการหนุนเสริมให้เกิดการบดย่อยและดูดซึมเอาสัจจะความจริงแห่งพระวจนะเข้าไปเป็นอาหารที่เสริมสร้างและเป็นพลังในการดำเนินชีวิตคริสตชนของเรา จนชีวิตคริสตชนสามารถสำแดงพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของคริสต์ชนคนนั้นครับ
ยากอบกล่าวว่า
“กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร
ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น” (ยากอบ
2:26 มตฐ)
การที่เรารู้เรื่องพระคัมภีร์มากขึ้นเท่านั้น อย่าหลงหลอกตนเองว่าชีวิตคริสตชนของตนเติบโตเข้มแข็งขึ้นตามความรู้ที่ได้รับ แต่การที่เราฟัง ใคร่ครวญ
พระวจนะของพระเจ้าอย่างเปิดใจและใส่ใจ
แล้วให้ชีวิตของเราดำเนินตามแนวทางของสัจจะในพระวจนะนั้นต่างหากที่เรากำลังก้าวสู่การเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ แล้วเราจะสามารถเห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าชีวิตที่ดำเนินตามสัจจะของพระองค์จะได้รับการเปลี่ยนแปลง
มีชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนชีวิตพระคริสต์มากขึ้นทุกที
และสิ่งหนึ่งที่เราสามารถสัมผัสได้คือเรามีความปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ต้องการให้พระวจนะของพระเจ้ามีส่วนในทุกเรื่องในชีวิตของเรา ไม่ว่าความสุข ความทุกข์
หรือการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
จำเป็นที่เราจะต้องตรวจสอบว่า เราเป็นนักฟังคำเทศนา นักศึกษาพระวจนะของพระเจ้า
แล้วตอบสนองพระวจนะนั้นด้วยการดำเนินชีวิตของเราในวันนี้หรือไม่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น