29 สิงหาคม 2556

ศรัทธาที่กล้าเสี่ยง

อ่านมาระโก 5:21-43

พระ​เยซู​เอง​ก็​ทรง​รู้​สึก​ทัน​ที​ว่า​ฤทธิ์​ซ่าน​ออก​จาก​พระ​องค์
จึง​เหลียว​หลัง​มา​หา​ฝูง​ชน​ตรัส​ว่า ใคร​แตะ​ต้อง​เสื้อ​ของ​เรา?
(มาระโก 5:30 มตฐ.)

ก่อนหน้านี้  พระเยซูได้เผชิญหน้ากับวิญญาณชั่วที่เก-ราซา   พระองค์ทรงขับอำนาจแห่งวิญญาณชั่วดังกล่าวให้ออกจากคนที่มันสิงอยู่   เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างความฮือฮาและความฉงนสนเท่แก่ประชาชนผู้พบเห็น  และสร้างความเสียหายและหวาดกลัวแก่ผู้คนที่อยู่ในแถบนั้น

ตามการบันทึกของมาระโก  พระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทำต่อจากนั้น  ก็ได้สร้างความอัศจรรย์และประหลาดใจแก่ฝูงชนที่พบเห็นไม่แพ้กัน   เป็นเรื่องการทรงรักษาผู้เจ็บป่วยสองคนในเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน   สำหรับการทรงรักษาในผู้ป่วยรายแรกที่เป็นการรักษาที่สำแดงถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย  อำนาจแห่งการพลิกฟื้นใหม่ของชีวิต   อำนาจแห่งความเมตตาให้โอกาสการเริ่มต้นชีวิตใหม่แก่ผู้สิ้นหวัง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นด้วยการที่นายธรรมศาลาท่านหนึ่งได้มาทูลขอให้พระเยซูคริสต์ไปวางมือบนลูกสาวของท่านที่กำลังป่วยหนักกำลังจะเสียชีวิต   แต่มาระโกก็ไม่ได้บอกว่าเด็กหญิงคนนั้นป่วยด้วยโรคอะไร   พระเยซูจึงเดินทางไปกับนายธรรมศาลาเพื่อไปบ้านของท่าน   โดยมีฝูงชนคนจำนวนมากเบียดเสียดติดตามพระองค์ไปด้วย   หญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคโลหิตตกมาเป็นเวลา 12 ปีพอเห็นเช่นนั้นก็ตัดสินใจเสี่ยงแฝงตนเองเข้าไปในฝูงชนที่ตามหลังพระเยซู   แล้วพยายามเบียดเสียดเข้าใกล้พระเยซูให้มากที่สุดจนประชิดตัวพระเยซู    นางได้ยื่นมาแตะที่ชายฉลองของพระองค์เป็นการลับ   เพราะนางเชื่อว่า   ถ้านางได้แตะชายฉลองของพระเยซูคริสต์จะทำให้ฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์รักษาโรคของนางให้หายได้   และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตามที่นางเชื่อ   โรคโลหิตตกของนางได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง   แน่นอนครับนางคงมีความชื่นชมยินดีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  แต่นางไม่กล้าแสดงความชื่นชมยินดีสุดนี้ชีวิตครั้งนี้ได้   เพราะนางจะถูกประชาทัณฑ์จากฝูงชนรอบข้าง   เพราะเธอเป็นโรคโลหิตตกไม่สะอาด   และกำลังเอาความเป็นมลทินของนางแปดเปื้อนให้กับคนที่นางไปสัมผัสเบียดเสียดด้วย    แต่ทันใดนั้น   เสียงของพระเยซูคริสต์ดังขึ้นชัดเจนว่า 

“ใครแตะต้องเสื้อของเรา?” (มาระโก 5:30)  

คำพูดประโยคนี้เป็นเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจความชื่นชมยินดีที่สุดในชีวิตของนาง  กลายเป็นความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่   ที่นางหวาดกลัวเพราะนางได้กระทำผิด   นางเป็นโรคโลหิตตกซึ่งในสังคมคนยิวถือว่านางเป็นมลทิน  และการที่นางไปแตะต้องชายฉลองของพระเยซูคริสต์ย่อมทำให้พระเยซูต้องเป็นมลทินไปด้วย   นางคงคิดว่าประโยคที่พระเยซูคริสต์ถามนั้นกำลังควานหาคนที่ทำให้พระองค์เป็นมลทินกระมัง   แล้วนางจะทำอย่างไร?

ยิ่งกว่านั้น   ถ้าความลับของนางต้องเปิดเผยออกมาว่านางเป็นโรคโลหิตตก   แล้วยังมาเบียดเสียดยัดเยียดในฝูงชนคนจำนวนมาก   ก็จะทำให้คนที่แตะต้องกับตัวนางกลายเป็นคนมลทินไปด้วย   แล้วคนพวกนั้นรุมประชาทัณฑ์นางหรือเปล่าเนี่ย? 

ท่ามกลางความสับสน สั่นกลัวของนาง   มีเสียงของสาวกกล่าวตอบพระเยซูคริสต์ว่า  พระองค์ก็เห็นแล้วว่ามีคนมากมายที่เบียดเสียดเข้าใกล้ชิดพระองค์   แล้วพระองค์จะถามได้อย่างไรว่า “ใครแตะเสื้อของเรา”   หลายคนแตะเสื้อแตะตัวของพระองค์   แต่สาวกหารู้ไม่ว่า  การที่พระองค์ถามเช่นนั้นเพราะมีฤทธิ์ซ่านออกจากตัวของพระองค์

ในเหตุการณ์นี้มีผู้ที่ตระหนักรู้ความจริงอยู่สองคนคือ   หญิงที่เป็นโรคโลหิตตก  ที่รู้ว่าเมื่อแตะต้องชายฉลองของพระเยซูแล้วนางหายโรคทันที   กับพระเยซูคริสต์ที่รู้ว่ามีฤทธิ์ซ่านออกจากตัวของพระองค์เอง

ตามที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า   คำถามของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ใครแตะต้องเสื้อของเรา?”  สำหรับนางแล้วเป็นคำถามที่กำลังควานหาคนที่กระทำผิด    แต่นางก็เห็นว่า  ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ต่อไป   นางจึงออกไปอยู่ต่อหน้าพระเยซูคริสต์ด้วยอาการตัวสั่นลาน   แล้วกราบลงทูลความจริงและความทุกข์ยากที่เป็นโรคโลหิตตกในชีวิต   และทูลถึงความคิดความเชื่อของตนว่าถ้าแค่ได้แตะชายฉลองของพระองค์ก็จะรักษาโรคของนางได้   และนางหายจากโรคโลหิตตกทันที  

แต่พระเยซูคริสต์กลับตอบนางว่า  “ลูก​หญิง​เอ๋ย ที่​หาย​โรค​นั้น​ก็​เพราะ​ลูก​เชื่อ จง​ไป​เป็น​สุข​และ​หาย​โรค​นี้​เถิด (ข้อ 34 มตฐ)   ประการแรก   พระเยซูคริสต์ทรงเรียกคนที่เป็นมลทินว่า “ลูก”   คนที่เป็นมลทินก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย   ประการที่สอง  พระเยซูคริสต์มิได้มองว่านางเป็นผู้มีมลทินเพราะโรคที่นางเป็น   แต่พระองค์กลับมองลึกลงไปในชีวิตจิตใจของนางว่า   นางเป็นผู้ที่มีความเชื่อ   และความเชื่อนี้เองที่นำเธอให้มาได้รับการรักษาจนหายโรค

การที่พระเยซูคริสต์ถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อของเรา?”   พระองค์มิได้ควานคนกระทำผิดกระทำบาป   พระองค์มิได้ให้คนบาปต้องปรากฏตัว   แต่ตรงกันข้าม   พระองค์ต้องการให้ฝูงชนเห็นถึงความเชื่อศรัทธาที่ฝังลึกในจิตใจของนาง  แล้วเป็นความเชื่อที่สำแดงออกมาเป็นการกระทำ   แล้วพระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงผลของความเชื่อที่สัตย์ซื่อและกล้าที่จะกระทำตามความเชื่อนั้นแม้จะมีความเสี่ยงมากเพียงใดก็ตาม

ที่พระองค์ต้องการให้นางเปิดตัวต่อสาธารณชน   มิใช่จงใจประจานทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า   แต่พระองค์ต้องการยื่นยันถึงความถูกต้องในสิ่งที่นางเชื่อและกระทำตามความเชื่อ   เพื่อฝูงชนจะได้เห็นว่า  นางได้รับการรักษาโรคทางร่างกายของนางจากพระเจ้า  

ในอีกมิติหนึ่ง  พระองค์ต้องการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายนั้น เป็นอำนาจแห่งรักเมตตาที่พลิกฟื้นให้คนทุกข์ยากสิ้นหวังในชีวิต   กลับมีชีวิตที่ชื่นชมยินดีอีกครั้ง   ชีวิตที่ถูกกีดกันตีตราให้ต้องแยกออกไปจากสังคม   กลับมามีชีวิตที่มีคุณค่าความเป็นคนตามพระประสงค์อีกครั้งหนึ่ง   พระเยซูคริสต์ทรงปลดปล่อยนางออกจากความทุกข์ระทมและทรมานทางจิตใจและจิตวิญญาณของนางที่เป็นโรคตกเลือด   ต้องแยกตัวออกจากชุมชน   และ

สุดท้ายที่พระองค์ให้นางเปิดเผยตัวต่อสาธารณชนก็เพราะพระองค์ต้องการประกาศยืนยันต่อหน้าทุกคนว่า  นางสะอาดแล้ว   นางมีสิทธิ์เข้าอยู่ในชุมชนอย่างคนทั่วไปได้แล้ว   นางกลับมีสัมพันธภาพกับผู้คนในชุมชนอีกครั้งหนึ่ง   นางจะรู้สึกว่าชีวิตนางมีคุณค่าอย่างที่คนอื่นมีคุณค่า

ในชีวิตจริงของเรา   บ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจถึงพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตอย่างที่สาวกไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงถาม(โง่ๆ)ว่า “ใครมาแตะต้องเสื้อของเรา?”   เรามักมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเราด้วยมุมมองที่คับแคบและตื้นเขิน  ด้วยมุมมองที่คิดถึงแต่ตัวเอง และเรามักมองพระราชกิจของพระเจ้าด้วย “หลักการและเหตุผล” หรือ ด้วยตรรกะ  ปราศจากมุมมองแห่งความรักเมตตา  มุมมองแห่งความเชื่อและไว้วางใจ   ความเชื่อที่กล้าเสี่ยงด้วยการะทำตามความเชื่อ   และด้วยมุมมองเช่นนี้เองที่เราไม่สามารถมองเห็น “ทางออก”  “ทางรอด”  ที่พระเจ้าทรงประทานให้ 

ในวันนี้ขอให้เราเป็นเหมือนหญิงโลหิตตกคนนี้   ที่เชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยเธอได้  เพียงแค่เธอยื่นมือออกแตะชายฉลองของพระองค์ก็จะหาย   และเธอกล้าเสี่ยงที่ยื่นมือออกแตะฉลองของพระองค์   ให้เราเชื่อและวางใจในพระองค์  มิเพียงเท่านั้นให้เรากล้าที่จะยื่นมือออกเพื่อทำตามความเชื่อนั้น   แม้จะต้องเสี่ยงในชีวิตก็ตาม

ในวันนี้ขอให้เรามีโอกาสได้ยินเสียงตรัสของพระคริสต์ว่า “ลูกเอ๋ย...”   เพื่อเราจะมั่นใจว่า เรายังเป็นลูกของพระองค์   และพระองค์ยังใส่ใจในทุกย่างก้าวชีวิตของเรา   แม้เราจะมิใช่คนที่ถูกต้อง  บริสุทธิ์  และสมบูรณ์ก็ตาม
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับบทความนี้ อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากๆเลยคะ
    ขอบคุณพระเจ้า ฮาเลลูนา😃😃😃😃

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับอาจารย์

    ตอบลบ