01 สิงหาคม 2556

เชื่อเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น

ปัจจุบันหลายต่อหลายคนในคริสตจักรมักคิดและกล่าวว่า “ฉันไม่มีความสามารถ  ฉันไม่เก่ง  และก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ”   หรือไม่ก็จะแก้ตัวว่า  “ก็ฉันไม่มีทักษะสามารถพอที่จะสร้างความแตกต่างในโลกนี้ได้   ดังนั้น ฉันก็จะพยายามมีชีวิตที่ดี  เป็นคนดี   ไปทำงานทุกๆ วันตามความรับผิดชอบ  จนเกษียณ  แล้วเล่นกอล์ฟ  หรืออยู่บ้านเฉยๆ   ฉันรู้ว่าชีวิตฉันรอดแล้ว  และมั่นใจว่าเมื่อตายแล้วฉันจะได้ไปสวรรค์”   และก็ยังมีคนส่วนมากมักคิดว่า “สำหรับกิจการงานพันธกิจในคริสตจักรเราก็ต้องไว้ใจให้ศิษยาภิบาลดำเนินการคงไม่ใช่ฉัน”?

จำเป็นอย่างยิ่งที่ชุมชนคริสตจักรต้องหนุนช่วยให้สมาชิกที่มานั่งนมัสการพระเจ้าหน้าสลอนในคริสตจักรเข้าใจให้ชัดเจนว่าการที่เรามีความเชื่อในพระเจ้านั้นนั่นเป็นเพียงก้าวเริ่มต้นของชีวิตสาวกพระคริสต์    เขาคนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการเสริมสร้างให้มีและดำเนินชีวิตทั้งชีวิตบนรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนตามพระวจนะของพระเจ้า 

แต่ที่พบเห็นเป็นประจำ  และพบได้ทั่วไปคือ   คนที่อ้างตัวว่ามีความเชื่อและมีความรอดเหล่านี้มักมีการดำเนินชีวิตแบบแยกส่วน   เช่น ชีวิตสาวกพระคริสต์ในคริสตจักรเช้าวันอาทิตย์   ชีวิตสาวกพระคริสต์เมื่อออกไปแจกใบปลิว   ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตในที่ทำงาน   ชีวิตในครอบครัว   ชีวิตที่สังสรรค์และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนสนิท   และชีวิตที่มุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จด้วยการแข่งขันแย่งชิง หรือ บางคนแย่ถึงกับทำร้ายทำลายคนอื่นแบบซ่อนเร้น 

แล้วชุมชนคริสตจักรทำอะไรบ้างในเหตุการณ์ที่ผิดพลาดเช่นนี้?

พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะใช้คนที่ไม่เต็มใจและไม่ได้ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตอุทิศทุ่มเทแด่พระองค์  พระเจ้าทรงเชิญชวนเราทุกคนในฐานะคนพิเศษสำคัญ   แต่จำเป็นที่เราจะต้องตอบสนองต่อพระองค์ด้วยการรักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ  สิ้นสุดความคิด   รักพระองค์ด้วยทั้งสิ้นชีวิตของเรา   ที่เราแต่ละคนจะพร้อมตอบพระองค์ว่า พระองค์เจ้าข้า   นี่คือทุกสิ่งทั้งสิ้นที่ข้าพระองค์มีอยู่ในชีวิต  นี่เป็นทรัพย์สินที่ข้าพระองค์มี  นี่เป็นบ้านที่ข้าพระองค์มี   นี่คืออาชีพการงานของข้าพระองค์   นี่คือทักษะความสามารถที่ข้าพระองค์มี   แล้ววางทั้งสิ้นที่เรามีต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า   และขอพระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เรามีอยู่ตามพระประสงค์ของพระองค์   คริสตชนมากมายหลายต่อหลายคนไม่ได้ก้าวมาถึงขั้นตอนนี้   เขาไม่ได้ดำเนินชีวิตในทุกมิติชีวิตของตนตามความเชื่อของคริสตชน   ตามแบบฉบับชีวิตสาวกของพระคริสต์  

แล้วชุมชนคริสตจักรได้ช่วยเสริมสร้างสมาชิกเหล่านี้หรือไม่  อย่างไร?

หลายคนได้กล่าวว่า “ผมเองต้องการที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง อย่างที่คุณทำ   ผมต้องการทำบางสิ่งที่สำคัญเฉพาะสำหรับพระเจ้า”  บ่อยครั้งผมจะตอบเขาว่า   “พระเจ้าจะทรงใช้ท่านให้ทำสิ่งพิเศษสำคัญในชีวิตได้อย่างไร   ในเมื่อสิ่งเล็กสิ่งน้อยสิ่งปกติธรรมดาท่านยังมิได้อุทิศถวายแด่พระองค์เลย?  ท่านมิได้ตั้งใจสัตย์ซื่อในการถวายสิบลด   ท่านมิได้เต็มใจอุทิศดำเนินชีวิตอย่างเชื่อฟังพระเจ้า   ท่านมิได้ตั้งใจทุ่มเทในการอ่านศึกษา ใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์  แสวงหาพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของท่านด้วยความจริงใจ   ถ้าท่านสัตย์ซื่อ ตั้งใจ  จริงจังในสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้   ท่านจะได้รับโอกาสที่พิเศษ สำคัญในการรับใช้พระองค์”

แล้วชุมชนคริสตจักรได้บ่มเพาะ ฟูมฟัก และเลี้ยงดูชีวิตสมาชิกเหล่านี้หรือไม่  อย่างไร?

แล้วผู้นำคริสตจักรได้ตอบสนองอย่างไรในภาวะเฉื่อยเฉยของสมาชิกคริสตจักร?

สิ่งหนึ่งที่พบว่าเป็นกับดักตัวฉกาจสำหรับผู้นำและผู้อภิบาลคริสตจักรคือ    ผู้นำเหล่านี้ให้ความสำคัญ “ความเชื่อเหนือกว่าพฤติกรรมและการดำเนินชีวิต”   บ่อยครั้งที่ผู้อภิบาลมักมุ่งเน้นสอนแต่ “หลักข้อเชื่อ” แก่คริสตชน  แต่อ่อนด้อยขาดน้อยในการเสริมสร้างการดำเนินชีวิตคริสตชน   และเชื่อมโยงให้เห็นเป็นภาคปฏิบัติจากหลักข้อเชื่อประยุกต์ใช้เป็นหลักการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันอย่างไร

ประการที่สอง ผู้นำ และ ผู้อภิบาลของคริสตจักรให้ความสำคัญต่อการอธิบายความหมายคำต่างๆ ในพระคัมภีร์เหนือกว่าการชี้นำ หนุนเสริม  ติดตามให้เกิดการกระทำตามคำสอน   ผู้อภิบาลหลายท่านของเรามีความสามารถในการอธิบายพระคัมภีร์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง  น่าเชื่อถือ   ดูลึกซึ้ง   มีความเป็นนักวิชาการ ขุดลึกลงรากศัพท์ทั้งภาษากรีก และ ภาษาฮีบรูของพระคัมภีร์   แต่ผู้อภิบาลและผู้นำคริสตจักรกลับละทิ้งส่วนของการชี้นำ หนุนเสริม และติดตามให้ผู้ฟังและสมาชิกสามารถประยุกต์คำสอนเหล่านั้นใช้เป็นหลักการแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของตน   ในที่สุดคำสอนของผู้อภิบาลกลายเป็นการสอนที่ดูดีแต่ภายนอก   เราต้องหนุนเสริมสมาชิกคริสตจักรให้ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตน   จำเป็นมากครับที่เราจะต้องตั้งเป้าหมายการมีชีวิตติดตามเป็นสาวกของพระคริสต์ไว้สูงเท่ากับพระประสงค์ของพระเจ้าครับ

ผมได้ยินคำเทศนาอยู่น้อยครั้งที่จะชักชวน หนุนเสริมให้สมาชิกออกจากคริสตจักรและดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากที่เคยเป็น   สู่แนวทาง วิธีการ ในการดำเนินชีวิตตามพระวจนะ  ตามพระประสงค์ของพระเจ้า   แล้วเจาะจงชัดเจนในแต่ละประเด็นด้านต่างๆ ที่ต้องทำให้ชีวิตคริสตชนมีแตกต่างจากชีวิตเดิม  

สมาชิกต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรในสิ่งที่ผู้นำและผู้อภิบาลสอน...  “แล้วผมจะทำอย่างไรครับ?”

กับดักผู้นำและผู้อภิบาลคริสตจักรที่สำคัญประการที่สามคือ  มุ่งเน้นรักษาคริสตจักรให้เป็นสถาบันมากกว่าที่นำคริสตจักรให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในชีวิต   ถ้าคริสตจักรที่ผู้นำและผู้อภิบาลทุ่มเทมุ่งสู่การเสริมสร้างให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่เข้มแข็งมั่นคง   โปรดตระหนักว่า ผู้นำและผู้อภิบาลเหล่านี้กำลังนำคริสตจักรของพระเยซูคริสต์อย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากครับ   พระเจ้าทรงเรียกให้ชุมชนคริสตจักรรับพลังของพระองค์ในการขับเคลื่อนการปฏิวัติ  ปฏิรูป  หรือการเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมโลก   การเสริมสร้างให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่เข้มแข็งมั่นคงเป็นงานภายหลังการปฏิรูป  ปฏิวัติ และ การเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมแล้ว   เพราะถ้าชุมชนคริสตจักรมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐานการดำเนินชีวิตก่อน    การเติบโตขึ้นก็จะเป็นการเติบโตเฉพาะตัวองค์กร หรือ สถาบันบนรากฐานที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากน้ำพระทัยของพระเจ้า  อาจจะกลายเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ “มะเร็งร้าย” ในชุมชนคริสตจักร และกลายเป็นภัยต่อสังคม  

เดี๋ยวนี้เราพบว่า  จะมีผู้นำผู้อภิบาลคริสตจักรที่มุ่งเน้นสร้างถาวรวัตถุให้ดูยิ่งใหญ่เป็นความสำเร็จ(ของตน)   หรือมีผู้นำและผู้อภิบาลที่ถนัดชำนาญในการสร้าง   “อิเวนท์” ต่างๆ คิดว่าเป็นผลงานความสำเร็จ(ของตน)   บ้างก็สร้างโครงการใหญ่ๆ ใช้เงินเป็นล้าน   บางคริสตจักรที่ผู้นำและผู้อภิบาลเน้นการอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้มาคริสตจักรในวันอาทิตย์  ติดแอร์  เบาะนุ่ม  เพลงเพราะ   ดนตรีเร้าใจ   อาหารกลางวันอร่อย   เพื่อให้มีจำนวนคนมาร่วมในคริสตจักรจำนวนมากขึ้น  ผู้นำและศิษยาภิบาลเกิดความรู้สึกมั่นใจว่า นั่นเป็นความสำเร็จ(ของตน)

กับดักที่อันตรายข้างต้นนี้คือ “ผู้นำและศิษยาภิบาล” เป็นศูนย์กลางของคริสตจักร! (แทนพระคริสต์)!

แล้วสมาชิกคริสตจักรทุกคนต้องเป็นผู้ประกาศพระกิตติคุณหรือไม่?

เปาโลกล่าวไว้ว่า  คริสตจักรคือพระวรกายของพระคริสต์ที่ประกอบด้วยอวัยวะมากมายหลายส่วน   แต่ละอวัยวะต่างมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญแตกต่างหลากหลายกันออกไป  และแต่ละส่วนทำงานประสานและเสริมหนุนกันอย่างสอดคล้อง   แต่ขอโทษที่จะต้องกล่าวว่า  คริสตจักรของเราสอนให้ผู้คนมีมุมมอง ความเข้าใจเรื่องการประกาศพระกิตติคุณ หรือ ข่าวประเสริฐด้วยสายตาที่คับแคบไม่ครอบคลุมตามพระวจนะของพระเจ้า   เราลดชีวิตที่ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ลงมาเป็นเพียง “รายการการทำดีในชีวิตประจำวัน”  และถ้าวันนี้เราได้ทำเราก็ติ๊กรายการนั้น เราสบายใจที่เราได้ทำดี   ไม่ต่างอะไรกับ...

“วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?”  

“วันนี้คุณออกกำลังกายหรือยัง?” 

การประกาศพระกิตติคุณมิใช่การทำดีเพื่อพระเจ้า!

มุมมองการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราควรมีมุมมองกว้างไกลครอบคลุมอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้  

พลังขับเคลื่อนหลักในการประกาศพระกิตติคุณคือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์  

ในการประกาศพระกิตติคุณมิใช่กระบวนการหรือวิธีการโน้มน้าวให้ผู้คนที่เราพูดคุยด้วยให้คล้อยตามแล้วเปลี่ยนศาสนามาเป็นนับถือศาสนาคริสต์ หรือ มาเป็นคริสเตียน  แท้จริงแล้วการประกาศพระกิตติคุณเป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้คนได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ  แปลกใจ  และต้องการอยากรู้ว่าอะไรคือต้นตอสาเหตุที่ทำให้ชีวิตที่เขาพบเห็นในคนๆ นั้นที่มีชีวิตแบบนั้น   และถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนได้รับการเสริมสร้าง  เตรียมพร้อม  แล้วคริสตจักรส่งเขาออกไปในครอบครัว  ชุมชน  ที่ทำงาน  ในการสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเพื่อสำแดงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงจนสร้างความแปลกประหลาดใจแก่ผู้คนรอบข้างที่เขาพบเห็นและสัมผัส  ผู้คนเหล่านี้จะถามว่า  อะไรที่ทำให้เขาคนนี้มีชีวิตที่แปลกแตกต่างอย่างน่าสนใจแบบนี้  

เราจะเห็นว่านี่มิได้ขึ้นอยู่กับการที่เรามีชีวิตที่ดีเท่านั้น   เพราะองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในการดำเนินชีวิตของคริสตชนคนนั้น   และในเวลาเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในจิตใจ ความคิด และจิตวิญญาณของผู้คนรอบข้างเหล่านั้นให้เห็นการดำเนินชีวิตของคริสตชนคนนั้น   พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระตุ้นให้เกิดความสนใจ  อยากรู้  นำสู่การแสวงหา  เมื่อใดก็ตามเมื่อคนๆ นั้นสนใจแสวงหาสัจจะชีวิต   ในเวลาเช่นนั้นเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำชีวิตของคนๆ นั้นเข้ามาสู่สัจจะความจริงของพระองค์   และนี่แสดงชัดเจนว่ามิใช่เป็นความเก่งกาจสามารถว่าของคนนั้นคนนี้ หรือ เราเป็นนักประกาศที่มีความสามารถ   แต่นี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำในชีวิตของเราและในชีวิตของคนรอบข้าง  

ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่สมาชิกคริสตจักรจะต้องถูกส่งเข้าไปอยู่ในชุมชนทั้ง “สี่มุมเมือง” ของสังคมโลก ในที่ที่สมาชิกดำรงชีวิตและทำงานอยู่   ชีวิตของสมาชิกคริสตจักรต้องสำแดงถึงชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระวจนะของพระเจ้า  ชีวิตของเราต้องสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา  จนผู้คนมองเห็น ฉงนสนใจ  เพราะพระวิญญาณที่ทำงานในชีวิตของเขาให้ค้นหาสัจจะความจริง  จนเขาได้พบสัจจะความจริงแห่งชีวิต   และชีวิตของเราคริสตชนต้องสำแดงออกถึงความรักเมตตาของพระคริสต์   การติดสนิทกับพระเจ้า  สัตย์ซื่อ  แข็งขันจริงจัง  ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์  และมีชีวิตแห่งการยกโทษแบบพระองค์

หมายความว่าเราต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนบนภูเขาเช่นนั้นหรือ?

ใช่แล้ว!  การดำเนินชีวิตตามคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์   เป็นหลักการและแนวทางที่คริสตชนต้องประยุกต์ให้เป็นการดำเนินชีวิตและปฏิบัติในชีวิตประจำวัน    เพราะหลักการเหล่านี้เป็นวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนในแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ประสงค์  

คริสตจักรเป็นเหมือนกองกำลังด่านหน้าแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้   ทั้งการปกป้องผู้คนในแผ่นดินของพระเจ้า   การเสริมสร้างความเข้มแข็งผู้คนในแผ่นดินของพระองค์   และพร้อมที่จะรุกคืบปฏิวัตินำการเปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่สังคมคนรอบข้าง  

เราคริสตชนคือคนที่ได้รับการเสริมสร้างจากพระเจ้าผ่านทางชีวิตชุมชนคริสตจักร   เพื่อให้เราพร้อมร่วมงานในพระราชกิจแห่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมโลกของพระคริสต์   เราจึงติดตามพระองค์ในกองกำลังด่านหน้าร่วมในพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกนี้   และร่วมในชัยชนะของพระองค์ในที่สุด

อยากจะบอกว่า   ทุกวันนี้คริสตจักรไทยยังทำงานชีวิตไม่พอ
พระคริสต์ทรงเรียกให้คริสตจักรของพระองค์ในประเทศไทยให้ลุกขึ้น
ให้สมาชิกคริสตจักรทุกคนร่วมงานกับพระองค์ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมโลกนี้
ให้เราออกจากกำแพงสูงชันของคริสตจักรที่อบอุ่น ปลอดภัย และสะดวกสบายในชีวิต
เพราะพระองค์ทรงอยู่นอกรั้วนอกกำแพงคริสตจักร
พระองค์กำลังอยู่กับผู้คนในสังคมชุมชนนอกคริสตจักร
พระองค์กำลังทำงานแห่งการกอบกู้  ปฏิวัติ  เปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมโลกนี้
พระองค์ทรงเรียก และรอคริสตชนไทยให้ติดตามและเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์
พระองค์ต้องการให้คริสตชนและท่านร่วมเฉลิมฉลองชัยแห่งแผ่นดินของพระเจ้าร่วมกับพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น