ปัจจุบันหลายต่อหลายคนในคริสตจักรมักคิดและกล่าวว่า
“ฉันไม่มีความสามารถ ฉันไม่เก่ง และก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ” หรือไม่ก็จะแก้ตัวว่า “ก็ฉันไม่มีทักษะสามารถพอที่จะสร้างความแตกต่างในโลกนี้ได้ ดังนั้น ฉันก็จะพยายามมีชีวิตที่ดี เป็นคนดี
ไปทำงานทุกๆ วันตามความรับผิดชอบ
จนเกษียณ แล้วเล่นกอล์ฟ หรืออยู่บ้านเฉยๆ ฉันรู้ว่าชีวิตฉันรอดแล้ว และมั่นใจว่าเมื่อตายแล้วฉันจะได้ไปสวรรค์” และก็ยังมีคนส่วนมากมักคิดว่า “สำหรับกิจการงานพันธกิจในคริสตจักรเราก็ต้องไว้ใจให้ศิษยาภิบาลดำเนินการคงไม่ใช่ฉัน”?
จำเป็นอย่างยิ่งที่ชุมชนคริสตจักรต้องหนุนช่วยให้สมาชิกที่มานั่งนมัสการพระเจ้าหน้าสลอนในคริสตจักรเข้าใจให้ชัดเจนว่าการที่เรามีความเชื่อในพระเจ้านั้นนั่นเป็นเพียงก้าวเริ่มต้นของชีวิตสาวกพระคริสต์ เขาคนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการเสริมสร้างให้มีและดำเนินชีวิตทั้งชีวิตบนรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนตามพระวจนะของพระเจ้า
แต่ที่พบเห็นเป็นประจำ และพบได้ทั่วไปคือ
คนที่อ้างตัวว่ามีความเชื่อและมีความรอดเหล่านี้มักมีการดำเนินชีวิตแบบแยกส่วน เช่น ชีวิตสาวกพระคริสต์ในคริสตจักรเช้าวันอาทิตย์ ชีวิตสาวกพระคริสต์เมื่อออกไปแจกใบปลิว ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตในที่ทำงาน ชีวิตในครอบครัว
ชีวิตที่สังสรรค์และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนสนิท
และชีวิตที่มุ่งสู่เป้าหมายความสำเร็จด้วยการแข่งขันแย่งชิง หรือ บางคนแย่ถึงกับทำร้ายทำลายคนอื่นแบบซ่อนเร้น
แล้วชุมชนคริสตจักรทำอะไรบ้างในเหตุการณ์ที่ผิดพลาดเช่นนี้?
พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะใช้คนที่ไม่เต็มใจและไม่ได้ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตอุทิศทุ่มเทแด่พระองค์ พระเจ้าทรงเชิญชวนเราทุกคนในฐานะคนพิเศษสำคัญ แต่จำเป็นที่เราจะต้องตอบสนองต่อพระองค์ด้วยการรักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดความคิด รักพระองค์ด้วยทั้งสิ้นชีวิตของเรา ที่เราแต่ละคนจะพร้อมตอบพระองค์ว่า
พระองค์เจ้าข้า นี่คือทุกสิ่งทั้งสิ้นที่ข้าพระองค์มีอยู่ในชีวิต นี่เป็นทรัพย์สินที่ข้าพระองค์มี นี่เป็นบ้านที่ข้าพระองค์มี นี่คืออาชีพการงานของข้าพระองค์ นี่คือทักษะความสามารถที่ข้าพระองค์มี แล้ววางทั้งสิ้นที่เรามีต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า และขอพระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เรามีอยู่ตามพระประสงค์ของพระองค์ คริสตชนมากมายหลายต่อหลายคนไม่ได้ก้าวมาถึงขั้นตอนนี้ เขาไม่ได้ดำเนินชีวิตในทุกมิติชีวิตของตนตามความเชื่อของคริสตชน ตามแบบฉบับชีวิตสาวกของพระคริสต์
แล้วชุมชนคริสตจักรได้ช่วยเสริมสร้างสมาชิกเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร?
หลายคนได้กล่าวว่า
“ผมเองต้องการที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง อย่างที่คุณทำ ผมต้องการทำบางสิ่งที่สำคัญเฉพาะสำหรับพระเจ้า” บ่อยครั้งผมจะตอบเขาว่า “พระเจ้าจะทรงใช้ท่านให้ทำสิ่งพิเศษสำคัญในชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งเล็กสิ่งน้อยสิ่งปกติธรรมดาท่านยังมิได้อุทิศถวายแด่พระองค์เลย? ท่านมิได้ตั้งใจสัตย์ซื่อในการถวายสิบลด ท่านมิได้เต็มใจอุทิศดำเนินชีวิตอย่างเชื่อฟังพระเจ้า ท่านมิได้ตั้งใจทุ่มเทในการอ่านศึกษา
ใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ แสวงหาพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของท่านด้วยความจริงใจ ถ้าท่านสัตย์ซื่อ
ตั้งใจ
จริงจังในสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้
ท่านจะได้รับโอกาสที่พิเศษ สำคัญในการรับใช้พระองค์”
แล้วชุมชนคริสตจักรได้บ่มเพาะ ฟูมฟัก
และเลี้ยงดูชีวิตสมาชิกเหล่านี้หรือไม่
อย่างไร?
แล้วผู้นำคริสตจักรได้ตอบสนองอย่างไรในภาวะเฉื่อยเฉยของสมาชิกคริสตจักร?
สิ่งหนึ่งที่พบว่าเป็นกับดักตัวฉกาจสำหรับผู้นำและผู้อภิบาลคริสตจักรคือ ผู้นำเหล่านี้ให้ความสำคัญ “ความเชื่อเหนือกว่าพฤติกรรมและการดำเนินชีวิต” บ่อยครั้งที่ผู้อภิบาลมักมุ่งเน้นสอนแต่
“หลักข้อเชื่อ” แก่คริสตชน
แต่อ่อนด้อยขาดน้อยในการเสริมสร้างการดำเนินชีวิตคริสตชน
และเชื่อมโยงให้เห็นเป็นภาคปฏิบัติจากหลักข้อเชื่อประยุกต์ใช้เป็นหลักการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันอย่างไร
ประการที่สอง ผู้นำ
และ ผู้อภิบาลของคริสตจักรให้ความสำคัญต่อการอธิบายความหมายคำต่างๆ ในพระคัมภีร์เหนือกว่าการชี้นำ
หนุนเสริม
ติดตามให้เกิดการกระทำตามคำสอน
ผู้อภิบาลหลายท่านของเรามีความสามารถในการอธิบายพระคัมภีร์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง น่าเชื่อถือ
ดูลึกซึ้ง มีความเป็นนักวิชาการ
ขุดลึกลงรากศัพท์ทั้งภาษากรีก และ ภาษาฮีบรูของพระคัมภีร์ แต่ผู้อภิบาลและผู้นำคริสตจักรกลับละทิ้งส่วนของการชี้นำ
หนุนเสริม และติดตามให้ผู้ฟังและสมาชิกสามารถประยุกต์คำสอนเหล่านั้นใช้เป็นหลักการแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของตน ในที่สุดคำสอนของผู้อภิบาลกลายเป็นการสอนที่ดูดีแต่ภายนอก เราต้องหนุนเสริมสมาชิกคริสตจักรให้ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตน
จำเป็นมากครับที่เราจะต้องตั้งเป้าหมายการมีชีวิตติดตามเป็นสาวกของพระคริสต์ไว้สูงเท่ากับพระประสงค์ของพระเจ้าครับ
ผมได้ยินคำเทศนาอยู่น้อยครั้งที่จะชักชวน
หนุนเสริมให้สมาชิกออกจากคริสตจักรและดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากที่เคยเป็น สู่แนวทาง วิธีการ
ในการดำเนินชีวิตตามพระวจนะ
ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แล้วเจาะจงชัดเจนในแต่ละประเด็นด้านต่างๆ ที่ต้องทำให้ชีวิตคริสตชนมีแตกต่างจากชีวิตเดิม
สมาชิกต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรในสิ่งที่ผู้นำและผู้อภิบาลสอน... “แล้วผมจะทำอย่างไรครับ?”
กับดักผู้นำและผู้อภิบาลคริสตจักรที่สำคัญประการที่สามคือ
มุ่งเน้นรักษาคริสตจักรให้เป็นสถาบันมากกว่าที่นำคริสตจักรให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในชีวิต
ถ้าคริสตจักรที่ผู้นำและผู้อภิบาลทุ่มเทมุ่งสู่การเสริมสร้างให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่เข้มแข็งมั่นคง โปรดตระหนักว่า
ผู้นำและผู้อภิบาลเหล่านี้กำลังนำคริสตจักรของพระเยซูคริสต์อย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากครับ พระเจ้าทรงเรียกให้ชุมชนคริสตจักรรับพลังของพระองค์ในการขับเคลื่อนการปฏิวัติ ปฏิรูป
หรือการเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมโลก
การเสริมสร้างให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่เข้มแข็งมั่นคงเป็นงานภายหลังการปฏิรูป ปฏิวัติ และ
การเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมแล้ว
เพราะถ้าชุมชนคริสตจักรมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐานการดำเนินชีวิตก่อน การเติบโตขึ้นก็จะเป็นการเติบโตเฉพาะตัวองค์กร
หรือ สถาบันบนรากฐานที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากน้ำพระทัยของพระเจ้า อาจจะกลายเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ
“มะเร็งร้าย” ในชุมชนคริสตจักร และกลายเป็นภัยต่อสังคม
เดี๋ยวนี้เราพบว่า จะมีผู้นำผู้อภิบาลคริสตจักรที่มุ่งเน้นสร้างถาวรวัตถุให้ดูยิ่งใหญ่เป็นความสำเร็จ(ของตน)
หรือมีผู้นำและผู้อภิบาลที่ถนัดชำนาญในการสร้าง “อิเวนท์” ต่างๆ คิดว่าเป็นผลงานความสำเร็จ(ของตน) บ้างก็สร้างโครงการใหญ่ๆ ใช้เงินเป็นล้าน บางคริสตจักรที่ผู้นำและผู้อภิบาลเน้นการอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้มาคริสตจักรในวันอาทิตย์ ติดแอร์
เบาะนุ่ม เพลงเพราะ ดนตรีเร้าใจ
อาหารกลางวันอร่อย เพื่อให้มีจำนวนคนมาร่วมในคริสตจักรจำนวนมากขึ้น ผู้นำและศิษยาภิบาลเกิดความรู้สึกมั่นใจว่า
นั่นเป็นความสำเร็จ(ของตน)
กับดักที่อันตรายข้างต้นนี้คือ
“ผู้นำและศิษยาภิบาล” เป็นศูนย์กลางของคริสตจักร! (แทนพระคริสต์)!
แล้วสมาชิกคริสตจักรทุกคนต้องเป็นผู้ประกาศพระกิตติคุณหรือไม่?
เปาโลกล่าวไว้ว่า
คริสตจักรคือพระวรกายของพระคริสต์ที่ประกอบด้วยอวัยวะมากมายหลายส่วน
แต่ละอวัยวะต่างมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่สำคัญแตกต่างหลากหลายกันออกไป และแต่ละส่วนทำงานประสานและเสริมหนุนกันอย่างสอดคล้อง แต่ขอโทษที่จะต้องกล่าวว่า คริสตจักรของเราสอนให้ผู้คนมีมุมมอง
ความเข้าใจเรื่องการประกาศพระกิตติคุณ หรือ
ข่าวประเสริฐด้วยสายตาที่คับแคบไม่ครอบคลุมตามพระวจนะของพระเจ้า
เราลดชีวิตที่ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ลงมาเป็นเพียง
“รายการการทำดีในชีวิตประจำวัน” และถ้าวันนี้เราได้ทำเราก็ติ๊กรายการนั้น
เราสบายใจที่เราได้ทำดี ไม่ต่างอะไรกับ...
“วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?”
“วันนี้คุณออกกำลังกายหรือยัง?”
การประกาศพระกิตติคุณมิใช่การทำดีเพื่อพระเจ้า!
มุมมองการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
เราควรมีมุมมองกว้างไกลครอบคลุมอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้
พลังขับเคลื่อนหลักในการประกาศพระกิตติคุณคือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
ในการประกาศพระกิตติคุณมิใช่กระบวนการหรือวิธีการโน้มน้าวให้ผู้คนที่เราพูดคุยด้วยให้คล้อยตามแล้วเปลี่ยนศาสนามาเป็นนับถือศาสนาคริสต์
หรือ มาเป็นคริสเตียน
แท้จริงแล้วการประกาศพระกิตติคุณเป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้คนได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ แปลกใจ
และต้องการอยากรู้ว่าอะไรคือต้นตอสาเหตุที่ทำให้ชีวิตที่เขาพบเห็นในคนๆ นั้นที่มีชีวิตแบบนั้น
และถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนได้รับการเสริมสร้าง เตรียมพร้อม
แล้วคริสตจักรส่งเขาออกไปในครอบครัว
ชุมชน ที่ทำงาน
ในการสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเพื่อสำแดงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงจนสร้างความแปลกประหลาดใจแก่ผู้คนรอบข้างที่เขาพบเห็นและสัมผัส ผู้คนเหล่านี้จะถามว่า อะไรที่ทำให้เขาคนนี้มีชีวิตที่แปลกแตกต่างอย่างน่าสนใจแบบนี้
เราจะเห็นว่านี่มิได้ขึ้นอยู่กับการที่เรามีชีวิตที่ดีเท่านั้น เพราะองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในการดำเนินชีวิตของคริสตชนคนนั้น
และในเวลาเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในจิตใจ ความคิด
และจิตวิญญาณของผู้คนรอบข้างเหล่านั้นให้เห็นการดำเนินชีวิตของคริสตชนคนนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระตุ้นให้เกิดความสนใจ อยากรู้
นำสู่การแสวงหา
เมื่อใดก็ตามเมื่อคนๆ นั้นสนใจแสวงหาสัจจะชีวิต
ในเวลาเช่นนั้นเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำชีวิตของคนๆ นั้นเข้ามาสู่สัจจะความจริงของพระองค์
และนี่แสดงชัดเจนว่ามิใช่เป็นความเก่งกาจสามารถว่าของคนนั้นคนนี้ หรือ
เราเป็นนักประกาศที่มีความสามารถ แต่นี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำในชีวิตของเราและในชีวิตของคนรอบข้าง
ดังนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่สมาชิกคริสตจักรจะต้องถูกส่งเข้าไปอยู่ในชุมชนทั้ง
“สี่มุมเมือง” ของสังคมโลก ในที่ที่สมาชิกดำรงชีวิตและทำงานอยู่ ชีวิตของสมาชิกคริสตจักรต้องสำแดงถึงชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระวจนะของพระเจ้า
ชีวิตของเราต้องสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา จนผู้คนมองเห็น ฉงนสนใจ เพราะพระวิญญาณที่ทำงานในชีวิตของเขาให้ค้นหาสัจจะความจริง จนเขาได้พบสัจจะความจริงแห่งชีวิต และชีวิตของเราคริสตชนต้องสำแดงออกถึงความรักเมตตาของพระคริสต์ การติดสนิทกับพระเจ้า สัตย์ซื่อ
แข็งขันจริงจัง
ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์
และมีชีวิตแห่งการยกโทษแบบพระองค์
หมายความว่าเราต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนบนภูเขาเช่นนั้นหรือ?
ใช่แล้ว! การดำเนินชีวิตตามคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ เป็นหลักการและแนวทางที่คริสตชนต้องประยุกต์ให้เป็นการดำเนินชีวิตและปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เพราะหลักการเหล่านี้เป็นวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนในแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ประสงค์
คริสตจักรเป็นเหมือนกองกำลังด่านหน้าแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้ ทั้งการปกป้องผู้คนในแผ่นดินของพระเจ้า
การเสริมสร้างความเข้มแข็งผู้คนในแผ่นดินของพระองค์ และพร้อมที่จะรุกคืบปฏิวัตินำการเปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่สังคมคนรอบข้าง
เราคริสตชนคือคนที่ได้รับการเสริมสร้างจากพระเจ้าผ่านทางชีวิตชุมชนคริสตจักร
เพื่อให้เราพร้อมร่วมงานในพระราชกิจแห่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมโลกของพระคริสต์
เราจึงติดตามพระองค์ในกองกำลังด่านหน้าร่วมในพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ และร่วมในชัยชนะของพระองค์ในที่สุด
อยากจะบอกว่า ทุกวันนี้คริสตจักรไทยยังทำงานชีวิตไม่พอ
พระคริสต์ทรงเรียกให้คริสตจักรของพระองค์ในประเทศไทยให้ลุกขึ้น
ให้สมาชิกคริสตจักรทุกคนร่วมงานกับพระองค์ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมโลกนี้
ให้เราออกจากกำแพงสูงชันของคริสตจักรที่อบอุ่น
ปลอดภัย และสะดวกสบายในชีวิต
เพราะพระองค์ทรงอยู่นอกรั้วนอกกำแพงคริสตจักร
พระองค์กำลังอยู่กับผู้คนในสังคมชุมชนนอกคริสตจักร
พระองค์กำลังทำงานแห่งการกอบกู้ ปฏิวัติ
เปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมโลกนี้
พระองค์ทรงเรียก
และรอคริสตชนไทยให้ติดตามและเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์
พระองค์ต้องการให้คริสตชนและท่านร่วมเฉลิมฉลองชัยแห่งแผ่นดินของพระเจ้าร่วมกับพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น