จงระแวดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ
(สุภาษิต 4:23 มตฐ)
ทุกวันนี้ประเทศไทยของเราต้องใช้งบประมาณมากมายเพื่อเป็นค่าจ้างตำรวจทั่วประเทศในการเสริมสร้างความปลอดภัยในสังคมไทย และใช้จ่ายงบประมาณในการป้องกันความปลอดภัยมั่นคงของประเทศอีกจำนวนมหาศาล ประเทศอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ชี้ชัดว่าประเทศต่างๆ ในสังคมโลกนี้ใช้เงินทองและผู้คนจำนวนมากเพื่อที่จะปกป้องประเทศของตนเองให้อยู่อย่างปลอดภัย มั่นคง
และสงบสุข
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ไม่รุกรานทำลายทำร้ายกัน เราตรากฎหมายและข้อบังคับปฏิบัติต่างๆ เพื่อปกป้องรักษาสิทธิส่วนบุคคล ป้องกันความเลวร้ายที่อาจจะกระทบการดำรงชีวิตของเราจากสังคมรอบด้าน
ยิ่งกว่านั้นในปัจจุบันนี้เรายังห่วงกังวลต่อสภาวะอากาศและอุณหภูมิโลกที่กำลังเสื่อมแย่ลง ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของใช้ส่วนรวมกำลังถูกคนบางกลุ่มนำไปใช้อย่างไม่รับผิดชอบ และกำลังลดน้อยลงในปัจจุบัน จึงกำหนดมาตรการต่างๆ ขึ้นเพื่อปกป้องสิ่งดังกล่าวข้างต้น
แม้แต่ในวงการศาสนาก็ได้ตกลงกันตราหรือกำหนด
ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ
จนกระทั่งธรรมนูญมูลนิธิขององค์กรศาสนานั้นๆ ขึ้น
เพื่อเป็นข้อตกลงว่าทุกคนในองค์กรจะยึดถือและปฏิบัติตามข้อตกลง
ทั้งนี้เพื่อปกป้องรักษาให้องค์กรสามารถดำเนินการอยู่รอดและตั้งอยู่อย่างปลอดภัยไม่ล่มจม
วุ่นวายสับสน และในตัวของศาสนาเองก็มี
“พระบัญญัติ 10 ประการ” “ศีลธรรม จริยธรรม” และ
คำสอนต่างๆ ของศาสดาที่ให้ยึดเป็นข้อปฏิบัติ
เพื่อปกป้องความอยู่รอดปลอดภัยของศาสนิก และ ชุมชนผู้เชื่อศรัทธาในศาสนานั้นๆ แต่ทั้งสิ้นเกิดคำถามว่า แล้วสิ่งที่มนุษย์/สังคมช่วยกันกำหนด ตราขึ้น ประกาศใช้สามารถปกป้องรักษาผู้คนและสังคมได้สมบูรณ์หรือไม่? มันเป็นการปกป้องในสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าสูงสุดหรือไม่?
คำตอบคงบอกได้ว่า
เป็นการปกป้องรักษาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น? เพราะเรายังพบมากมายและแจ้งชัดว่า คนส่วนหนึ่งยังพยายามหาช่องโหว่ ช่องว่าง
และคำภาษาที่ใช้ในระเบียบ ข้อปฏิบัติ กฎหมาย
ข้อบังคับ แม้แต่คำสอน ที่คนกลุ่มนี้จะใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่ง
มั่นคง และผลประโยชน์ส่วนตนส่วนพวก
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นเป็นภัยคุกคามความสงบสุข ความปลอดภัย
และความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิตของผู้คน และ ชีวิตของชุมชนองค์กรนั้นๆ คนที่เป็นภัยกลุ่มนี้มักใช้
“ตรรกะเหตุผล”(ความคิด),
ความรู้เท่าทัน,
และความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์บ่อนเซาะความมั่นคงปลอดภัยของผู้อื่นและองค์กร
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่า
การปกป้องคุ้มครองเพื่อก่อเกิดความอยู่รอดปลอดภัยที่สังคม/องค์กรกำหนดขึ้นนั้นเป็นการปกป้องรักษาคุ้มครองสภาพภายนอกรอบด้านของชีวิตและสังคมความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งเท่านั้น
แต่มิได้มีอิทธิพลและพลังที่จะปกป้อง
คุ้มครอง “จิตใจ” ภายในแต่ละคนในชุมชนหรือชีวิตองค์กรได้!
ในพระธรรมสุภาษิต 4:23
กล่าวชัดเจนว่า
การปกป้องรักษาความอยู่รอดปลอดภัยในชีวิตของผู้คน องค์กร และสังคม พระธรรมตอนนี้เน้นว่า ที่สำคัญที่สุด “ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด” จะต้อง “ระแวดระวังใจของคน”
เพราะการเริ่มต้นที่การปกป้องจิตใจของคนเป็นการเริ่มต้นปกป้องที่รากฐาน จิตใจของแต่ละคนย่อมมีอิทธิพลต่อเจตนาของคนๆ นั้นในแต่ละเรื่อง
แล้วเกิดผลกระทบต่อการคิด(ตรรกะเหตุผลที่ใช้)
และมุมมองที่กลั่นกรองการรับรู้ในเรื่องต่างๆ กลายเป็นข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้นของคนๆ นั้น/คนกลุ่มนั้น เป็นอิทธิพลต่อการตัดสินใจในครั้งนั้น แล้วกำหนดท่าทีความสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้างในเรื่องนั้น
แน่นอนครับมีอิทธิพลและเป็นพลังขับเคลื่อนเรื่องนั้นด้วยในที่สุด
ผู้เขียนสุภาษิตตอนนี้ได้สรุปกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการที่ปกป้องหรือไม่ปกป้องที่จิตใจว่า
“เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ”
และพระเยซูคริสต์ได้ตรัสสอนเรื่องนี้อย่างชัดเจนและเห็นภาพพจน์เลยว่า
18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ
สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี
การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ
การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ
(มัทธิว 15:18-19
มตฐ)
คำว่า
“ระแวดระวัง” ที่ใช้ในภาษาฮีบรูของพระธรรมสุภาษิตตอนนี้ มีความหมายเดียวกับการทำหน้าที่ของทหารยามที่เฝ้าปกป้องระวังระไวที่ประตูเมือง
และผู้เขียนสุภาษิตใช้ศัพท์คำนี้เพื่อแสดงถึง การปกป้อง รักษา ระแวดระวังจิตใจของคนเรา การระแวดระวังจิตใจของเราในที่นี้คือการที่เราต้องตื่นอยู่ ตรวจตราทั้งคนและสิ่งที่จะนำเข้าเมือง หรือ
ออกเมือง เพราะระมัดระวังป้องกันสถานการณ์อันเลวร้ายอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และถ้ามีเหตุร้ายก็จะต้องแจ้งเตือนภัยให้กองกำลังของเราทราบ หรือทุกคนในเมืองได้รับรู้เท่าทันเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
การระแวดระวังใจของเราคือ การที่เราตรวจสอบ
ถามตนเองและตอบด้วยความจริงใจว่า
ขณะนี้เราเปิดประตูเมืองแห่งชีวิตของเราอย่างอ้ากว้างไม่มีอะไรขวางกั้นหรือไม่?
เราปล่อยให้อิทธิพลและกระแสสังคมปัจจุบันเข้ามาครอบงำจิตใจ ความคิด
และวิถีการดำเนินชีวิตของเราหรือเปล่า?
เราเปิดกว้างสนองรับผลประโยชน์และอำนาจที่มีผู้มาเสนอหรือไม่? เรายอมปล่อยให้คำพูด ท่าที
และการกระทำของคนบางคนบางกลุ่มเข้ามาทำลายคุณค่าในชีวิตของเรา ความรู้สึก
และกำลังความมั่นคงในชีวิตจิตใจหรือไม่?
ที่เราต้องระแวดระวังจิตใจของเราเพราะ จิตใจของเรา
ความเชื่อศรัทธาของเรา
คือแหล่งที่ตั้งของ “น้ำพุแห่งชีวิต”
จากเบื้องบน
เป็นต้นกำเนิดแห่งพลังใจพลังชีวิต
ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณ
เราจะยอมปล่อยให้อิทธิพลภายนอกมามีอำนาจและพลังเหนือจิตใจของเรา จนในที่สุดเกิดความท้อแท้อ่อนใจ
จนกระทั่งถึงกับพลิกผันเปลี่ยนใจละทิ้งรากฐานน้ำพุแห่งชีวิตคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อแสวงหาตามใจปรารถนาของตนเองหรือไม่?
และเราจะรู้ว่าจิตใจจิตวิญญาณและรากฐานชีวิตของเราเป็นอย่างไรก็สามารถดูได้จากอาการชีวิตที่แสดงออกในชีวิตประจำวันของเรา เฉกเช่น
เมื่อร่างกายของเราแสดงอาการตัวร้อน
ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ย่อมเป็นอาการบ่งบอกถึงการผิดปกติภายในร่างกายของเรา
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
45 คนดีย่อมเอาสิ่งดีออกจากคลังดีในจิตใจของตน
และคนชั่วย่อมเอาสิ่งชั่วออกจากคลังชั่วในจิตใจของตน
เพราะว่าปากย่อมพูดสิ่งที่เต็มล้นอยู่ในจิตใจ (ลูกา 6:45 มตฐ)
ทั้งสิ้นนี้เริ่มที่ใจของเราแต่ละคนครับ ด้วยเหตุนี้ที่เราต้อง “...ระแวดระวังใจของเรายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น