2 ข้าแต่พระยาห์เวห์
ข้าพระองค์จะร้องทุกข์นานสักเท่าใด?
และพระองค์มิทรงฟัง
หรือข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์ว่า “ทารุณ พระเจ้าข้า”
และพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย (ฮาบากุก 1:2 มตฐ)
ท่านเคยรู้สึกว่าชีวิตของตน
“ติดแหง็ก” หรือ “เหมือนติดหล่ม” อยู่ในความท้อแท้ใจหรือไม่? ถ้าเคย...ท่านมิใช่คนเดียวที่มีชีวิตที่สิ้นแรงสิ้นหวังเช่นนั้นครับ!
บางช่วงบางเวลาของชีวิตของเราเหมือนย่ำอยู่ในโคลนตมลึก ติดแหง็กไม่รู้จะไปทางไหน ไม่รู้จะไขว่คว้าหาอะไรมายึดมาเกาะ เพื่อจะช่วยดึงตนเองออกจาการแรงดูดของโคลนตมนั้น ในเวลาเช่นนั้นความหวังของเราไม่ไปข้างหน้า มันติดหนึบอยู่ในโคลนนั้นครับ
ความรู้สึกผิดหวัง...เป็นอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งที่เราตอบสนองต่อความล้มเหลวในความคาดหวังที่เกิดขึ้น และนี่เป็นอารมณ์แรกเริ่มที่เราตอบสนองออกมา แต่ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกนี้ยืดยาวยืดเยื้อต่อไป มันจะพัฒนารุนแรงสู่ระดับความรู้สึกสิ้นหวัง เหมือนกับเมฆดำมืดที่ปกคลุมเหนือชีวิตของเรา เมื่อภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือ ทำอะไร
ชีวิตก็จะปราศจากความสุขชื่นชมหรือความพึงพอใจ
เหตุการณ์ที่เลวร้ายนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นกับเราแล้วเราคงหลบลี้หนีจากมันไม่ได้ มันอยู่นอกความสามารถในการควบคุมจัดการของเรา แต่ที่สำคัญคือ
วิธีการที่เราจะตอบสนองต่อสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกตอบสนองได้!
เราอาจจะเลือกที่ให้ความรู้สึกโศกเศร้า โกรธแค้น
ไม่พอใจนั้นเข้ามาครอบงำชีวิตจิตวิญญาณของเรา เปิดประตูใจให้มันเข้ามายึดครอบครองพื้นที่ในความคิดจิตใจของเรา
หรือเราสามารถที่จะเลือกที่จะเข้มแข็งกล้าหาญนำเอาสภาวการณ์ที่เลวร้ายนั้นมาให้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงสามารถที่จะช่วยเรา ให้ทรงชี้แนะ
และนำเราเดินไปในสถานการณ์ “หุบเขาเงามัจจุราช”
การที่ยอมตนจมจ่อมอยู่ในความสิ้นหวัง
หมดแรง
ท้อแท้ใจเป็นการเปิดโอกาสให้พิษร้ายของความสิ้นหวังทำให้ความคิดของเราฟุ้งซ่านไม่มีเอกภาพที่จะคิดอะไรได้ ทำให้เราสนใจจดจ่ออยู่แต่ความเจ็บปวดในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราในเวลานั้น
หลังจากนั้นก็พัฒนาแรงขึ้นไปสู่ความรู้สึกโกรธ แล้วก็มองไปรอบตัวเราว่า ใครที่เป็นต้นเหตุทำให้เราต้องประสบกับความล้มเหลวในชีวิตเช่นนี้ ควานหา “แพะมารับโทษ” ว่าจะโทษใครดี คนที่อยู่รอบตัวเรา และไม่เว้นแม้แต่จะโทษพระเจ้า หรือไม่ก็โทษตนเองในที่สุด
เมื่อเกิดความสับสนวุ่นวายในจิตใจและเจ้าตัวไม่สามารถจะรับมือกับความรู้สึกสับสนวุ่นวายในชีวิตก็จะพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่เก็บกดตนเอง
เก็บตัว
ทำตนให้แปลกแยกออกไปจากผู้คน และคนรอบข้างก็จะหลีกเลี่ยงที่จะต้องคบค้าพบปะกับคนที่กำลังมีความขมขื่นในชีวิต ท้อแท้
ยอมแพ้
หรือที่กำลังประสบกับความพ่ายแพ้ล้มเหลวในชีวิต การแปลกแยกตนเองจากผู้อื่นนำไปสู่ความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่าหรือมีคุณค่าที่ต่ำด้อยกว่าคนอื่น เมื่อชีวิตถูกความมืดมนครอบงำจนถึงขนาดนี้ย่อมมีผลต่อการคิดการเลือกและการตัดสินใจของคนนั้น
เพราะเขาจะตัดสินใจตามอำนาจทางอารมณ์ของเขาในเวลานั้นมากกว่าจะตัดสินใจตามสัจจะความจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดสินใจไปในทางเลวร้าย
ทำร้ายหรือทำลายได้
ซึ่งเป็นแนวทางการตัดสินใจที่พระเจ้าไม่ประสงค์ให้ชีวิตของเราต้องเป็นเช่นนั้น
ในชีวิตของแต่ละคนย่อมมีเวลาหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังแล้วพัฒนาสู่ความสิ้นหวัง ในฐานะคริสตชนเราไม่ควรปล่อยให้ชีวิตในภาวะความสิ้นหวังต้องถลำตัวลงลึกอย่างที่กล่าวข้างต้น แต่ในภาวะชีวิตเช่นนั้น พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราไว้วางใจในพระองค์ในทุกสิ่ง แม้แต่ความหวังที่เราไม่ประสบความสำเร็จ หรือความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิต โปรดจำไว้เสมอว่า...
28
เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า
คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
(โรม 8:28)
พระธรรมฮาบากุกในทั้งสามบทผู้เขียนกล่าวถึงความสิ้นหวังที่ไม่มีความหวังใดๆ
เหลืออยู่สำหรับประเทศชาติของเขา
สำหรับการที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ในตอนท้ายของบทที่สามท่านยืนยันความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าว่า...
17 แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน
หรือเถาองุ่นไม่มีผล
ผลมะกอกก็ขาดไป
ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร
แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก
และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง
18 ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
19 พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า... (ฮาบากุก 3:17-19)
อย่าลืมนะครับว่า แม้วันนี้ชีวิตจะจมดิ่งมืดมิดแค่ไหนก็ตาม พระเจ้ายังเป็นกำลังของท่านครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น