อ่านพระกิตติคุณลูกา
3:1-18
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลของจักรพรรดิทิเบริอัส
ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย
เฮโรดเป็นเจ้าเมืองกาลิลี
ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียกับเมืองตรา
โคนิติส ลีซาเนียสเป็นเจ้าเมืองอาบีเลน
และอันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต
ช่วงเวลานี้เองที่พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร
ยอห์นจึงไปทั่วลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
ประกาศให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมา
เพื่อให้พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาป
ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือที่เป็นถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า
“มีเสียงของผู้หนึ่งป่าวร้องในถิ่นทุรกันดารว่า
จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป
(ลูกา 3:1-4 มตฐ.)
ในทุกวิกฤติชีวิต เราจะได้เห็นถึงพระประสงค์อันเป็นพระคุณของพระเจ้าที่สำแดงผ่านบุคคลและเหตุการณ์ในเวลานั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลตกอยู่ใต้การปกครองของโรมัน
และศาสนาถูกควบคุมโดยอำนาจผู้นำฝ่ายศาสนายิวที่มีตำแหน่งมหาปุโรหิต ในเวลาเช่นนั้นเองเป็นเวลาของพระเจ้าที่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้ผ่านชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์เจ้า
นักประวัติศาสตร์และนายแพทย์ลูกา ได้เริ่มต้นบันทึกเหตุการณ์นี้ในพระกิตติคุณลูกา ด้วยการเริ่มต้นอย่างนักประวัติศาสตร์คือ
การยืนยันเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในช่วงไหนของประวัติศาสตร์ โดยเริ่มตั้งแต่มหาอำนาจสูงสุดในเวลานั้นคือ จักรพรรดิทิเบริอัส แล้วมีปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย และยังอ้างถึงผู้ครองเมืองต่างๆ ในแถบนั้น ลงมาจนถึงมหาปุโรหิตของยิวในเวลานั้นคืออันนาส
และ คายาฟาส ในด้านหนึ่งผู้อ่านอาจจะมองว่านี่เป็นการยืนยันว่าเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์
แต่ผมมองอีกมุมหนึ่งว่า ในช่วงวิกฤติ พระเจ้าทรงเลือกเวลาเช่นนี้กระทำพระราชกิจของพระองค์ พระองค์มิได้สำแดงผ่านผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองอย่างมหาจักรพรรดิ หรือเจ้าเมืองต่างๆ พระเจ้ามิได้ตรัสสำแดงกับคนในราชวัง
และก็ไม่ได้สำแดงผ่านผู้นำศาสนายิวในพระมหาวิหารด้วย พระเจ้าทรงผ่านข้ามคนเหล่านี้ แต่พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ ซึ่งตอนนั้นใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าตรัสกับคนที่มีพื้นที่ว่างในชีวิตที่จะรับฟังพระองค์
พระองค์ทรงใช้คนที่มีชีวิตเรียบง่ายพร้อมที่จะให้พระองค์ใช้อย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้นำหน้าประกาศแผนงานของพระองค์
ที่พระเจ้าต้องผ่านข้ามผู้มีอำนาจ มีตำแหน่ง
มั่งคั่ง อยู่ในพระมหาราชวัง อยู่ในพระมหาวิหาร เพราะคนพวกนี้มี “สิ่งอุดตัน”
ในชีวิตมากมาย
ชีวิตของเขาไม่สามารถที่จะเป็นท่อนำเอาพระราชกิจอันเป็นพระคุณของพระเจ้ามายังประชาชนในเวลานั้นได้ แต่ยอห์นที่มีชีวิตเรียบง่าย มีท่อชีวิตที่โปร่งโล่ง ที่พระเจ้าสามารถสำแดงพระราชกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้
ยอห์นจึงได้ประกาศให้ประชาชนกลับใจใหม่รับการทรงยกโทษจากพระเจ้า รับบัพติศมา
และประกาศให้แต่ละคนเตรียมพื้นที่ชีวิตของตนเอง ตามที่พระวจนะของพระเจ้าที่เผยในอิสยาห์ 40:3-4
จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป
หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง
ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และทางที่สูงๆ ต่ำๆ จะเป็นทางราบ
(ลูกา 3:4-5 มตฐ.)
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมพื้นที่ชีวิตของตนใหม่
เพื่อพร้อมต้อนรับพระคริสต์ที่เสด็จมาทั้งในพระธรรมอิสยาห์และลูกาต่างใช้ภาพการเตรียมพื้นที่ชีวิตเป็นเหมือนการเตรียม
“ทาง” ที่จะรับการเสด็จมาของพระคริสต์
“ทำทางแห่งชีวิตของพระเจ้าให้ตรงไป...หุบเขาถมให้เต็ม...เนินเขาปราบให้ต่ำลง...ทางคดทำให้ตรง...ทางสูงๆ
ต่ำๆ ทำให้เรียบ”
การกล่าวเช่นนี้เป็นการเตือนประชาชนและรวมไปถึงผู้มีอำนาจทางการเมือง
และ การศาสนาว่า จะเตรียมชีวิตของตนเช่นไร ท่านกล่าวเปรียบเทียบว่า ที่สูงต้องปราบลงให้ราบเรียบ ที่คดๆ งอๆ ต้องตัดให้ตรง และนี่คือการกลับใจ
การกลับใจมิใช่เป็นเพียงการตั้งใจเท่านั้น มิใช่มีใจสำนึกเท่านั้น การกลับใจมิใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ต้องทำให้เห็นและสร้างผลกระทบของการกลับใจต่อชีวิตในชุมชนด้วย ยอห์นประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่า
จงพิสูจน์การกลับใจด้วยผลที่เกิดขึ้น...
ฝูงชนจึงถามท่านว่า “เราจะต้องทำอย่างไร? ท่านตอบพวกเขาว่า “ใครมีเสื้อสองตัวจงแบ่งปันให้แก่คนที่ไม่มี และใครมีอาหารก็จงทำเหมือนกัน” สำหรับคนเก็บภาษียอห์น
กล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด”
กับพวกทหารท่านบอกพวกเขาว่า “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน
แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง” (ลูกา 3:8-14 มตฐ.) บัพติศมาเป็นการแสดงถึงการยอมกลับใจใหม่ แต่การกลับใจใหม่สำหรับยอห์นผู้ให้บัพติศมา พิธีบัพติศมามิได้เป็นเครื่องยืนยันถึงการกลับใจใหม่ของคนๆ
นั้น
สิ่งที่ยืนยันถึงการกลับใจใหม่คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของตน จากทางที่ลุ่มๆ ดอนๆ คดๆ เคี้ยวๆ
ให้มีการดำเนินชีวิตที่ตรงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เทศกาลเตรียมรับเสด็จปีนี้ ประเทศไทยประสบวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
เป็นเวลาที่เราจะต้องเตรียมด้วยการ กลับใจ
รับบัพติศมา
และสำแดงการกลับใจของเราออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการกระทำที่สร้างผลกระทบที่สร้างสรรค์ต่อชีวิต/สังคม
สำหรับเราในปีนี้วิกฤติชีวิตที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ได้บอกให้เราต้องกลับใจในเรื่องอะไรบ้าง?
และการกลับใจดังกล่าวจะต้องสำแดงออกมาในรูปธรรมอย่างไร? และจะต้องสร้างผลกระทบที่สร้างสรรค์ต่อชีวิต/สังคมอย่างไรบ้าง?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น