“จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งหลาย
และบนแผ่นดินนั้น ชาติต่างๆ ก็จะมีความทุกข์ร้อนและความฉงนสนเท่ห์
เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น
มนุษย์จะสลบไสลไปเพราะความกลัว เนื่องจากสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก
เพราะว่าบรรดาสิ่งที่มีฤทธานุภาพในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
และเมื่อนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ
ด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมีอันยิ่งใหญ่...” (ลูกา 21:25-27)
พระกิตติคุณสำหรับอาทิตย์แรกของการเตรียมรับเสด็จปีนี้ดูน่ากลัวและน่าตกใจ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เป็นการทำนายถึงสิ่งที่เลวร้ายจะเกิดขึ้น บางท่านอาจจะรู้สึกว่าพระกิตติคุณที่เลือกสำหรับเทศกาลเตรียมรับเสด็จในปีนี้ดูไม่เหมาะสม เพราะช่วงเวลาของการเตรียมรับเสด็จน่าจะเป็นเวลาของการ “เข้าสู่ความเงียบสงบ” เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอย ครั้งแรกเมื่ออ่านพระกิตติคุณตอนนี้ผมคนหนึ่งละที่รู้สึกว่า พระกิตติคุณตอนนี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เกรี้ยวกราด รุนแรง
และนี่คือพระกิตติคุณที่เริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จมาขององค์พระคริสต์หรือ?
ต้องสารภาพอย่างเปิดใจว่า นี่ถ้ามิใช่เพราะถูกฝึกวินัยการอ่านพระวจนะให้ครอบคลุม ต่อเนื่อง อย่างเป็นระบบตามที่มีการจัดพระคัมภีร์สำหรับอ่านแต่ละวันแล้ว ผมคงขอเลี่ยงการอ่านพระคัมภีร์และการใคร่ครวญพระกิตติคุณตอนนี้ไปก่อน เป็นธรรมชาติส่วนตัวของผมที่ต้องการหลีกเลี่ยง หรือ หลีกหนีจากสิ่งที่จะสร้างความรู้สึกไม่สบาย แม้สิ่งนั้นจะเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเทศกาลแห่งการรอคอยด้วยจิตใจที่สงบ และ เวลาแห่งความชื่นชมยินดีของเทศกาลคริสต์มาสที่นำความสุขสันติมาถึงกันและกัน
แท้จริงแล้ว เมื่อผมเริ่มใคร่ครวญถึง ภาพจากฉากของพระกิตติคุณลูกา บทที่ 21 กลับพบว่านี่คือภาพแห่งความจริงในสถานการณ์ชีวิตแท้ของเรา เป็นสถานการณ์ชีวิตจริงยิ่งกว่าภาพเคลิ้มฝันที่พวกเราจินตนาการถึงภาพคณะทูตสวรรค์ที่มายืนร้องเพลงอย่างไพเราะ แล้วมีแม่ที่คอยทะนุถนอมพระกุมารเยซูที่นอนสงบในรางหญ้า
ในปีนี้ภาพความจริงแห่งชีวิตที่เราประสบในเทศกาลเตรียมรับเสด็จเป็นภาพในพระกิตติคุณลูกาบทที่ 21 เรากำลังตกอยู่ท่ามกลางสังคมที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงและยังหาทางออกไม่ได้ สมาชิกกลุ่มการเมืองต่างสีกำลังคำรามจ้องหาโอกาสฟัดคู่ปรปักษ์ ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้องชอบธรรม คาดหวังลึกๆ ให้ฝ่ายศัตรูคู่ขัดลาภต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ในต่างถิ่นต่างแดน ผู้คนตอนนี้จิตใจตกอยู่ในสภาพรักเมตตาที่ต้องชำระแก้แค้นขับไล่
ประเทศฟิลิปปินส์ และ อีกหลายประเทศในแถบนี้ที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบตั้งตัวไม่ติด พืชผลเพาะปลูกถูกทำลายเสียหาย ผู้คนไร้บ้านที่อาศัย แย่งชิงปล้นสะดมอาหาร ประชาชนล้มตายจากเหตุรุนแรงทางธรรมชาติ
ประเทศมหาอำนาจนอกจากต้องการรักษาอำนาจโลกที่ตนมีอยู่แล้ว ยังแสวงหาอำนาจเพิ่มพูนมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศจีนแผ่นดินใหญ่กับญี่ปุ่น และตอนนี้มหาอำนาจอเมริกาเข้าร่วมญี่ปุ่นต้านอำนาจประเทศจีน และยิ่งกว่านั้นเชิญชวนประเทศอื่นเข้าร่วมในการต้านครั้งนี้ด้วย
มิใช่ระดับโลก ระดับชาติเท่านั้นที่กำลังเผชิญกับความยุ่งยาก ขัดแย้ง ต่อสู้กันอย่างรุนแรง ในระดับองค์กรที่หนีไม่พ้นความขัดแย้ง ความยุ่งยากในระดับกลุ่ม ระหว่างพรรค และ พวกในองค์กร และหนีไม่พ้นครับความขัดแย้งระหว่างบุคคลด้วย
ผู้คนมีชีวิตตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย สับสน เครียด และมีความขุ่นเคืองขัดแย้งอีกหลายเรื่องที่หาทางออกบอกทางแก้ไม่ได้ เราประสบกับคำถามมากมายในชีวิตที่ไม่สามารถหาคำตอบ ความล้มเหลวทั้งในชีวิตของเราและคนรอบข้างทำให้เราเกิดคำถามต่อพระกิตติคุณหรือ “ข่าวดี” ที่เทศน์ๆ กันในเช้าวันอาทิตย์
เมื่อมองย้อนถึงสภาพความจริงในชีวิตของตนที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วกลับมาอ่านพระกิตติคุณลูกา ตอนนี้ ทำให้ถึงบางอ้อว่า แท้จริงแล้วชีวิตทุกวันนี้ก็เป็นอย่างที่มีในลูกาบทที่ 21 พระธรรมตอนนี้ช่วยทำให้ตาของผมสว่างขึ้น ยอมรับความจริง และรู้เท่าทันว่าชีวิตจริงของผมตกอยู่ในสภาพเช่นไรแน่ ทำให้ผมเองต้องสัตย์ซื่อต่อตนเอง รู้เท่าทันชีวิตจริง มิใช้หมกมุ่นฝันหวานกับชีวิตในความฝันจินตนาการ
ผมสงบลงยอมรับความจริงว่า แท้จริงแล้วชีวิตของผมในวันนี้ลึกๆ กำลังพบกับความวุ่นวายสับสน หลายเรื่องหาทางออกไม่ได้ หลายคำถามหาคำตอบไม่เจอ ในบางมุมมองชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และในสถานการณ์ความเป็นจริงของชีวิตเช่นนี้แหละที่ผมกำลังรอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์ ในสถานการณ์เช่นนี้แหละเป็นเวลาที่ผมจะต้องเตรียมรับเสด็จพระคริสต์เข้าในชีวิตของผม ผมรอคอยพระคริสต์ที่จะเสด็จเข้ามาในชีวิตของผมด้วยพลังแห่งการเยียวยารักษาชีวิต และขอพระคริสต์เป็นแสงสว่างในชีวิตและความคิดที่มืดมิดในเวลานี้
เทศกาลเตรียมรับเสด็จเป็นเวลาที่เราแต่ละคนรอคอยพระคริสต์ที่ทรงเป็นความสว่างที่เข้ามาในชีวิตของเรา เป็นความสว่างที่ส่องเข้าในมุมมืดแห่งชีวิตของเราในด้านต่างๆ เป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนความกลัวของเราให้เป็นความกล้า พระวจนะของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อเราตระหนักรู้ว่ามีมุมมืดมิดในชีวิตของเรา และ รอบๆ ชีวิตของเรา นั่นไม่ใช่เวลาที่เราจะวิ่งหนี หาที่หลบซ่อน แต่เป็นเวลาที่เราจะต้องลุกขึ้น เชิดหัวของเราขึ้น มิใช่เพราะเรามีความสามารถเก่งกาจที่จะปล้ำสู้กับความมืดเหล่านั้นได้ แต่ที่เงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองหาพลังแห่งการกอบกู้ของพระคริสต์ที่กำลังเข้ามาใกล้เราแล้ว เป็นเวลาที่เราจำต้องปกป้อง ตื่นตัว และไม่ยอมตนคลุ้มคลั่งสับสนไปกับกระแสพลังความบ้าคลั่งที่กำลังโหมกระหน่ำล้อมรอบชีวิตของเรา เพื่อเราจะมุ่งมองเห็นพระคริสต์ในทุกพื้นที่ชีวิตของเราที่รู้สึกเดียวดาย โดดเดี่ยว ว้าเหว่ สับสน และไม่มีความหวัง
ดังนั้น เราจะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสในการรอคอยพระองค์ เรามิได้รอคอยด้วยความสิ้นหวัง แต่เรารอคอยพระคริสต์เฉกเช่นผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการแสวงหาพระคริสต์เพื่อถวายพื้นที่ชีวิตของเราแด่พระองค์
ในวันนี้มีพื้นที่ส่วนไหนบ้างในชีวิตของเราที่สับสน วุ่นวาย ตึงเครียด เจ็บปวด หวาดกลัว หรือพื้นที่ต้องห้ามในชีวิตของเรา ท่านพร้อมและกล้าที่จะเปิดพื้นที่ชีวิตเหล่านั้นให้พระคริสต์เข้ามาครอบครอง เยียวยา และสร้างใหม่ในพื้นที่เหล่านั้นหรือไม่?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น