06 ธันวาคม 2556

มั่นใจแม้ไม่มีความชัดเจน

คริสตจักรยุคนี้พูดเอามากเกี่ยวกับ “นิมิต”   และดูเหมือนว่า ศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักรจะต้องมีนิมิต   แต่นิมิตที่คริสตจักรหรือคนในคริสตจักรพูดถึงดูแล้วไม่ค่อยแตกต่างไปจากที่องค์กรต่างๆ พูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์   เพียงแต่การที่จะไปให้ถึงนิมิต หรือ วิสัยทัศน์อาจจะแตกต่าง หรือ เนียนมากน้อยกว่ากันแค่นั้นเอง

บ่อยครั้ง   เมื่อพูดถึงนิมิต  ผู้นำคริสตจักรมักจะพูดว่า   เขาได้รับนิมิตจากพระเจ้า   การพูดถึงนิมิตในทำนองนี้มักหมายถึงเป้าหมายปลายทางที่ต้องการที่จะไปให้ถึง   หรือสิ่งที่ผู้นำคริสตจักรท่านนั้นต้องการให้เกิดขึ้นจริงสำเร็จตามนั้น   แต่บางครั้งบางพวกเมื่อพูดถึงนิมิตมักจะนำไปพัวพันเกี่ยวข้องกับการ “ทำนาย” ถึงอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แล้วถ้านิมิตที่ผู้นำคริสตจักรนำมาถ่ายทอดให้กับสมาชิกในคริสตจักรว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่มิได้เกิดขึ้นตามนิมิตนั้นล่ะ   จะทำอย่างไรดี?  

สิ่งที่เคลือบแคลงในจิตใจของสมาชิกคริสตจักรบางคนบางกลุ่มก็ยังมีคำถามในใจว่า   นี่คือนิมิตที่พระเจ้าให้แก่คริสตจักร   หรือ ผู้นำคริสตจักรคิดว่าคริสตจักรควรจะไปทิศทางไหน   หรือนี่เป็นความปรารถนาที่ผู้นำคริสตจักรอยากให้เกิดขึ้นเป็นจริงในคริสตจักร?

ผมเคยรู้จักองค์กรคริสเตียนองค์กรหนึ่งที่ทำงานทุ่มเทเพื่อหนุนเสริมงานในคริสตจักรและชุมชน   มีกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมองค์กรนี้เพราะได้ยินถึงการทำงานทุ่มเทขององค์กร   ในการพบปะกันได้หนุนเสริมเพิ่มกำลังใจแก่กันและกัน   และในตอนหนึ่งของการอธิษฐานด้วยกัน   ได้มีแขกที่มาเยี่ยมดูงานคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วบอกนิมิตที่เขาได้รับว่า   องค์กรนี้จะเติบโตเข้มแข็ง   การทำงานจะเกิดผลที่ยิ่งใหญ่   พระเจ้าทรงใช้องค์กรนี้   คนทำงานในองค์กรนี้มีจิตใจฟื้นชื่นตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น   เวลาผ่านไปไม่นานนัก  องค์กรนี้ประสบกับปัญหาการบริหารภายในจนเกือบเอาตัวไม่รอด   คนหนึ่งในองค์กรถามผมว่า   นิมิตที่ผู้มาเยือนคนนั้นพูดถึงนั้นทำไมมันตรงกันข้ามเช่นนี้   และเขาถามคำถามพื้นฐานในเรื่องนี้ว่า   นิมิตของแขกคนนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า หรือ ภาพใจปรารถนาของแขกคนนั้น   แล้วคิดว่าสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นนิมิตมาจากพระเจ้าหรือ?   ตอบยากครับ!   ผมตอบว่าผมยังไม่รู้ครับ

ใช่ครับ  เขากำลังถามผมว่าเขาจะมั่นใจได้อย่างไรเมื่อสถานการณ์แวดล้อมยังไม่ชัดเจน!

เมื่อกลับมาครุ่นคิดใคร่ครวญในเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น   ผมถามในใจว่า  อะไรคือหลักการพื้นฐานความเชื่อและการปฏิบัติของคริสตชนในเรื่องนี้?   จนเมื่อมาอ่านและศึกษาถึงเรื่องการอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ในสวนเกทเสมนี มาระโก 14:36 เขียนไว้ว่า

พระ​องค์​ทูล​ว่า
อับบา (พ่อ) ทุก​สิ่ง​เป็น​ได้​สำ​หรับ​พระ​องค์
ขอ​โปรด​ให้​ถ้วย​นี้​เลื่อน​พ้น​ไป​จาก​ข้า​พระ​องค์​เถิด
แต่​อย่า​ให้​เป็น​ไป​ตาม​ใจ​ปรารถนาของ​ข้า​พระ​องค์
แต่​ให้​เป็น​ไป​ตาม​พระ​ทัย​ของ​พระ​องค์  (มตฐ.)

บทเรียนที่ล้ำค่าที่ได้จากพระเยซูคริสต์   เมื่อพระองค์ต้องเดินไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ไม่ชัดเจน   พระองค์มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้ครับ

1) อับบา(พ่อ) ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์

พระเยซูคริสต์เริ่มต้นคำอธิษฐานของพระองค์   ด้วยการตระหนักชัดถึงความเป็นพระเจ้าของพระบิดา   พระเยซูกำลังสนทนาทูลขอกับ “พ่อ”  และพระองค์รู้ชัดเจนว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปได้สำหรับพระบิดา   ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระบิดา   นั่นหมายความว่าเราสามารถทูลขอทุกเรื่องต่อพระองค์   ความเป็นพระเจ้าของพระบิดาไม่มีขีดจำกัด  (ยกเว้นคนที่ผู้เชื่อบางคนบางกลุ่มไปเน้นจำกัดกรอบพระราชกิของพระองค์)

2) ขอโปรดให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์

เมื่อพระเยซูอธิษฐานพระองค์พูดความในใจอย่างเปิดเผย  อย่างหมดเปลือก อย่างจริงใจต่อพระบิดา   พระองค์บอกถึงความคิดความปรารถนาของพระองค์ต่อพระบิดา   เมื่อเราอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เราบอกทุกอย่างที่อยู่ในจิตใจของเราต่อพระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อและจริงใจ   เราไม่จำเป็นต้อง “กั๊ก” ว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะสมที่เราจะทูลต่อพระเจ้า   แท้จริงแล้ว   พระเจ้าทรงล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเราชัดเจนยิ่งกว่าที่เราจะรู้ถึงจิตใจของเราเอง   แล้วเราทำไมต้อง “ปกปิด” ความคิด ความรู้สึก หรือ ความปรารถนาที่เรามีในจิตใจของเราจากพระเจ้า?   แม้สิ่งนั้นจะเป็นความอ่อนแอน่าอายปานใดในชีวิตของเราก็ตาม

3) แต่อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์   แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์

ประการสำคัญในการอธิษฐานของเราคือ   เมื่อเราตระหนักชัดว่าทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า   แล้วเราก็ทูลขอจากความจริงใจของเราต่อพระองค์    เราจึงเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   ดังนั้น   จึงไม่ใช่ขอ หรือ บังคับให้พระเจ้าทำตามสิ่งที่เราเห็นว่าจำเป็นเหมาะสมที่ควรจะเกิดขึ้นกับเรา   แต่ให้ทุกสิ่งเป็นไปและเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์    ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามแผนการอันดีของพระเจ้า  และเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมตามพระประสงค์ของพระองค์

เพราะทั้งสิ้นนี้ผมไม่รู้ชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไรเมื่อใด   แต่ผมมั่นใจว่าพระเจ้าทรงกระทำได้

ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะรู้ว่า เป้าหมายปลายทางจะมีอะไรที่จะเกิดขึ้นเป็นจริง   แต่หน้าที่ของผมคือไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงกระทำแก่ผมดีที่สุดตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์

เมื่อ John Kavanaugh ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม   ไปอาสาทำงานในบ้านพักผู้ป่วยใกล้ตายในกัลกัตตา  ที่แม่ชีเทเรซาทำงานอยู่   เขาไปที่นั่นเพื่อที่จะแสวงหาคำตอบที่ชัดเจนสำหรับชีวิตของตนที่เหลืออยู่   ในเช้าแรกที่เขาพบกับแม่ชีเทเรซา   คุณแม่ทักทายเขาว่า “มีอะไรที่แม่จะช่วยคุณได้บ้าง?”   เขาขอคุณแม่อธิษฐานเผื่อเขา

แม่ชีเทเรซาถามต่อไปว่า  “คุณต้องการให้ฉันอธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร?”   ที่ผมมาจากแดนไกลอีกซีกหนึ่งของโลกก็เพื่อแสวงหาความชัดเจนในชีวิตข้างหน้า   “ขอท่านช่วยอธิษฐานให้ผมมีความชัดเจนในชีวิตว่าจะไปทิศทางไหน”

แม่ชีเทเรซาตอบผู้เชี่ยวชาญทางจริยธรรมท่านนั้นว่า  “ไม่  ฉันจะไม่อธิษฐานในสิ่งที่ท่านขอ”  John Kavanaugh  ถามแม่ชีด้วยความงุนงงว่า  “ทำไมหรือครับ?”   แม่ชีตอบว่า  “คุณยึดติดความชัดเจนในชีวิตข้างหน้าของคุณอย่างเหนียวแน่น   คุณต้องละและวาง ปล่อยสิ่งนี้ออกไปจากชีวิตของคุณ   แต่ John Kavanaugh บอกแม่ชีเทเรซาว่า   เขาปรารถนาที่จะรู้ชัดเจนถึงสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในชีวิตที่เหลือของเขา   แม่ชีเทเรซายิ้มๆ และกล่าวว่า  “ฉันเองก็ไม่มีความชัดเจนในชีวิตข้างหน้าของฉันเช่นกัน   แต่สิ่งที่ฉันมีคือการไว้วางใจ  ฉะนั้น  ฉันจะอธิษฐานเพื่อให้คุณไว้วางใจในพระเจ้า”

วันนี้ท่านแสวงหาความชัดเจนในชีวิต  หรือท่านได้ไว้วางใจในแผนการของพระเจ้าเพื่อชีวิตของท่าน?


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น