คริสตจักรยุคนี้พูดเอามากเกี่ยวกับ
“นิมิต” และดูเหมือนว่า
ศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักรจะต้องมีนิมิต
แต่นิมิตที่คริสตจักรหรือคนในคริสตจักรพูดถึงดูแล้วไม่ค่อยแตกต่างไปจากที่องค์กรต่างๆ
พูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์ เพียงแต่การที่จะไปให้ถึงนิมิต
หรือ วิสัยทัศน์อาจจะแตกต่าง หรือ เนียนมากน้อยกว่ากันแค่นั้นเอง
บ่อยครั้ง เมื่อพูดถึงนิมิต ผู้นำคริสตจักรมักจะพูดว่า เขาได้รับนิมิตจากพระเจ้า การพูดถึงนิมิตในทำนองนี้มักหมายถึงเป้าหมายปลายทางที่ต้องการที่จะไปให้ถึง หรือสิ่งที่ผู้นำคริสตจักรท่านนั้นต้องการให้เกิดขึ้นจริงสำเร็จตามนั้น
แต่บางครั้งบางพวกเมื่อพูดถึงนิมิตมักจะนำไปพัวพันเกี่ยวข้องกับการ “ทำนาย”
ถึงอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แล้วถ้านิมิตที่ผู้นำคริสตจักรนำมาถ่ายทอดให้กับสมาชิกในคริสตจักรว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่มิได้เกิดขึ้นตามนิมิตนั้นล่ะ จะทำอย่างไรดี?
สิ่งที่เคลือบแคลงในจิตใจของสมาชิกคริสตจักรบางคนบางกลุ่มก็ยังมีคำถามในใจว่า นี่คือนิมิตที่พระเจ้าให้แก่คริสตจักร หรือ
ผู้นำคริสตจักรคิดว่าคริสตจักรควรจะไปทิศทางไหน
หรือนี่เป็นความปรารถนาที่ผู้นำคริสตจักรอยากให้เกิดขึ้นเป็นจริงในคริสตจักร?
ผมเคยรู้จักองค์กรคริสเตียนองค์กรหนึ่งที่ทำงานทุ่มเทเพื่อหนุนเสริมงานในคริสตจักรและชุมชน
มีกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมองค์กรนี้เพราะได้ยินถึงการทำงานทุ่มเทขององค์กร ในการพบปะกันได้หนุนเสริมเพิ่มกำลังใจแก่กันและกัน และในตอนหนึ่งของการอธิษฐานด้วยกัน
ได้มีแขกที่มาเยี่ยมดูงานคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วบอกนิมิตที่เขาได้รับว่า องค์กรนี้จะเติบโตเข้มแข็ง การทำงานจะเกิดผลที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงใช้องค์กรนี้ คนทำงานในองค์กรนี้มีจิตใจฟื้นชื่นตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เวลาผ่านไปไม่นานนัก องค์กรนี้ประสบกับปัญหาการบริหารภายในจนเกือบเอาตัวไม่รอด คนหนึ่งในองค์กรถามผมว่า
นิมิตที่ผู้มาเยือนคนนั้นพูดถึงนั้นทำไมมันตรงกันข้ามเช่นนี้ และเขาถามคำถามพื้นฐานในเรื่องนี้ว่า นิมิตของแขกคนนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
หรือ ภาพใจปรารถนาของแขกคนนั้น แล้วคิดว่าสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นนิมิตมาจากพระเจ้าหรือ? ตอบยากครับ! ผมตอบว่าผมยังไม่รู้ครับ
ใช่ครับ
เขากำลังถามผมว่าเขาจะมั่นใจได้อย่างไรเมื่อสถานการณ์แวดล้อมยังไม่ชัดเจน!
เมื่อกลับมาครุ่นคิดใคร่ครวญในเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ผมถามในใจว่า
อะไรคือหลักการพื้นฐานความเชื่อและการปฏิบัติของคริสตชนในเรื่องนี้?
จนเมื่อมาอ่านและศึกษาถึงเรื่องการอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ในสวนเกทเสมนี
มาระโก 14:36 เขียนไว้ว่า
พระองค์ทูลว่า
“อับบา (พ่อ)
ทุกสิ่งเป็นได้สำหรับพระองค์
ขอโปรดให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด
แต่อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์
แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
(มตฐ.)
บทเรียนที่ล้ำค่าที่ได้จากพระเยซูคริสต์
เมื่อพระองค์ต้องเดินไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ไม่ชัดเจน พระองค์มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้ครับ
1) อับบา(พ่อ) ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์
พระเยซูคริสต์เริ่มต้นคำอธิษฐานของพระองค์
ด้วยการตระหนักชัดถึงความเป็นพระเจ้าของพระบิดา พระเยซูกำลังสนทนาทูลขอกับ “พ่อ” และพระองค์รู้ชัดเจนว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปได้สำหรับพระบิดา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระบิดา
นั่นหมายความว่าเราสามารถทูลขอทุกเรื่องต่อพระองค์ ความเป็นพระเจ้าของพระบิดาไม่มีขีดจำกัด
(ยกเว้นคนที่ผู้เชื่อบางคนบางกลุ่มไปเน้นจำกัดกรอบพระราชกิของพระองค์)
2) ขอโปรดให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์
เมื่อพระเยซูอธิษฐานพระองค์พูดความในใจอย่างเปิดเผย อย่างหมดเปลือก อย่างจริงใจต่อพระบิดา
พระองค์บอกถึงความคิดความปรารถนาของพระองค์ต่อพระบิดา เมื่อเราอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เราบอกทุกอย่างที่อยู่ในจิตใจของเราต่อพระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อและจริงใจ เราไม่จำเป็นต้อง “กั๊ก”
ว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะสมที่เราจะทูลต่อพระเจ้า
แท้จริงแล้ว
พระเจ้าทรงล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเราชัดเจนยิ่งกว่าที่เราจะรู้ถึงจิตใจของเราเอง แล้วเราทำไมต้อง “ปกปิด” ความคิด ความรู้สึก
หรือ ความปรารถนาที่เรามีในจิตใจของเราจากพระเจ้า?
แม้สิ่งนั้นจะเป็นความอ่อนแอน่าอายปานใดในชีวิตของเราก็ตาม
3) แต่อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ประการสำคัญในการอธิษฐานของเราคือ เมื่อเราตระหนักชัดว่าทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า แล้วเราก็ทูลขอจากความจริงใจของเราต่อพระองค์ เราจึงเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น
จึงไม่ใช่ขอ หรือ
บังคับให้พระเจ้าทำตามสิ่งที่เราเห็นว่าจำเป็นเหมาะสมที่ควรจะเกิดขึ้นกับเรา แต่ให้ทุกสิ่งเป็นไปและเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์
ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามแผนการอันดีของพระเจ้า และเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมตามพระประสงค์ของพระองค์
เพราะทั้งสิ้นนี้ผมไม่รู้ชัดเจนว่า
พระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไรเมื่อใด
แต่ผมมั่นใจว่าพระเจ้าทรงกระทำได้
ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะรู้ว่า
เป้าหมายปลายทางจะมีอะไรที่จะเกิดขึ้นเป็นจริง
แต่หน้าที่ของผมคือไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงกระทำแก่ผมดีที่สุดตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์
เมื่อ
John Kavanaugh ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม
ไปอาสาทำงานในบ้านพักผู้ป่วยใกล้ตายในกัลกัตตา ที่แม่ชีเทเรซาทำงานอยู่ เขาไปที่นั่นเพื่อที่จะแสวงหาคำตอบที่ชัดเจนสำหรับชีวิตของตนที่เหลืออยู่ ในเช้าแรกที่เขาพบกับแม่ชีเทเรซา คุณแม่ทักทายเขาว่า
“มีอะไรที่แม่จะช่วยคุณได้บ้าง?”
เขาขอคุณแม่อธิษฐานเผื่อเขา
แม่ชีเทเรซาถามต่อไปว่า
“คุณต้องการให้ฉันอธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร?” ที่ผมมาจากแดนไกลอีกซีกหนึ่งของโลกก็เพื่อแสวงหาความชัดเจนในชีวิตข้างหน้า
“ขอท่านช่วยอธิษฐานให้ผมมีความชัดเจนในชีวิตว่าจะไปทิศทางไหน”
แม่ชีเทเรซาตอบผู้เชี่ยวชาญทางจริยธรรมท่านนั้นว่า “ไม่
ฉันจะไม่อธิษฐานในสิ่งที่ท่านขอ” John
Kavanaugh
ถามแม่ชีด้วยความงุนงงว่า
“ทำไมหรือครับ?” แม่ชีตอบว่า “คุณยึดติดความชัดเจนในชีวิตข้างหน้าของคุณอย่างเหนียวแน่น คุณต้องละและวาง
ปล่อยสิ่งนี้ออกไปจากชีวิตของคุณ แต่ John
Kavanaugh บอกแม่ชีเทเรซาว่า
เขาปรารถนาที่จะรู้ชัดเจนถึงสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในชีวิตที่เหลือของเขา แม่ชีเทเรซายิ้มๆ และกล่าวว่า “ฉันเองก็ไม่มีความชัดเจนในชีวิตข้างหน้าของฉันเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉันมีคือการไว้วางใจ ฉะนั้น
ฉันจะอธิษฐานเพื่อให้คุณไว้วางใจในพระเจ้า”
วันนี้ท่านแสวงหาความชัดเจนในชีวิต
หรือท่านได้ไว้วางใจในแผนการของพระเจ้าเพื่อชีวิตของท่าน?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น