อ่าน ลูกา 2:15-20
เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากพวกเขา(คนเลี้ยงแกะ) ขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
บรรดาคนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า
“ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งกับเรา”
เขาก็รีบไป แล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า
เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น
คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา
ส่วนนางมารีย์ก็เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้และรำพึง (อมตธรรมแปลว่า “ใคร่ครวญ”) อยู่ในใจ
(ลูกา 2:15-19 มตฐ.)
การเฉลิมฉลองคริสต์มาสปีนี้ก็คงเสร็จสิ้นไปแล้วนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่บ้านหลายต่อหลายคนต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกับการจับจ่ายซื้อของขวัญ
และ อาหารสำหรับงานเลี้ยง
บางคนต้องวุ่นวายกับการคิดค้นหาสิ่งที่จะเป็นของขวัญสำหรับคนต่างๆ ตั้งแต่ลูก คู่สมรส อาจารย์ที่โบสถ์ เจ้านายที่บริษัท อีกทั้งเพื่อนฝูงคนสนิท
แล้วบทใคร่ครวญปีนี้มาเสนอให้จัดหาของขวัญสำหรับศัตรูคู่ปรปักษ์อีก โอ้ย
มันมากมาย ยุ่งยาก สับสน
หลายคนเตรียมของขวัญไม่ทัน
บางคนเกือบไม่ทัน
บางคนต้องกลับไปดูตู้เก็บของขวัญที่เคยได้มาในปีก่อนๆแต่ไม่ได้ใช้เอามาห่อเป็นของขวัญสำหรับคนที่ยังหาของขวัญไม่ทัน!
ดูวุ่นวายสับสนเอาการอยู่ใช่ไหมครับ?
แต่มันไม่ใช่แค่นั้นซิ
ยังต้องคิดว่าจะจะเตรียมอาหารอะไรเป็นพิเศษที่จะเลี้ยงกันในครอบครัว
ยิ่งกว่านั้นต้องรีบเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบในการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่คริสตจักร
และก็พลาดไม่ได้จะต้องไปร่วมการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่บริษัท
หรือ ที่ทำงาน
พอมาถึงวันที่ 27 ธันวาคม
ค่อยหายใจยาวขึ้นได้หน่อย
แต่พอวันที่ 29
ก็ต้องมาคิดเรื่องส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
คิดถึงที่ต้องอดหลับอดนอนในคืนที่ 31 ธันวาคม แล้วก็จะต้องเหนื่อยอ่อนใจ
ไม่ไปก็ไม่ได้นั่นเป็นงานที่คริสตจักรที่เรามีส่วนรับผิดชอบด้วย
โอ้ย “สุขสันติคริสต์มาส” ทำไมมันถึงยุ่งยาก วุ่นวาย
เหนื่อยทั้งกายทั้งใจอะไรเช่นนี้หนอ?
เมื่อมีเวลามานั่งคิดใคร่ครวญในเช้าวันนี้ก็พบว่า แท้จริงแล้วไม่จำเป็นที่เราจะต้องยุ่ง วุ่นวาย
เหนื่อยยากเช่นนี้เลย
เราคิดเราเชื่ออะไรผิดพลาดไปหรือเปล่าเนียะ?
เมื่ออ่านพระวจนะที่เราได้อ่านกันในตอนนี้ เราเห็นภาพการมาบังเกิดของพระคริสต์ อาจจะสร้างความตื่นเต้น ประหลาดอัศจรรย์ใจแก่ผู้คนที่ได้ยินได้เห็น ได้รับการบอกกล่าว คนเลี้ยงแกะที่ได้รับการเปิดเผยขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านการแจ้งเล่าข่าวดีของทูตสวรรค์ เมื่อคนเลี้ยงแกะไปตามที่ทูตสวรรค์บอก และพบสิ่งต่างๆตามที่ทูตสวรรค์เล่า
และตรงกับความคาดหวังในทางความเชื่อของเขา พวกเขาชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้า และบอกเล่าข่าวดีที่เขาพบเขาเห็นแก่ผู้คนที่เขาพบเห็น
คนที่ได้รับการบอกเล่าข่าวดีจากคนเลี้ยงแกะก็ประหลาดอัศจรรย์ใจ ตื่นเต้นไปตามคำบอกเล่าของคนเลี้ยงแกะ
ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า
คนที่ได้ยินคำบอกเล่าของคนเลี้ยงแกะเพียงแค่ประหลาดใจในคำบอกเล่านั้น แต่พระคัมภีร์มิได้บันทึกว่า
พวกเขารีบไปดูสิ่งที่ประหลาดอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น!
ต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายท่ามกลางเหตุการณ์ที่ในเมืองนั้น ที่มีญาติมิตรที่เกิดที่นี่กลับมามากมาย
เพื่อจดทะเบียนสำมโนครัวครั้งใหญ่ตามมหาอำนาจโรมมันสั่งมา ทั้งนี้เพราะจะมีข้อมูลพื้นฐานเพื่อจัดเก็บภาษีจากคนยิวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าเดิม
พวกเขาต้องวุ่นวายจัดหาที่พักหลับนอน จัดหาอาหารสำหรับรับประทาน ติดตามหาบ้านญาติ ฯลฯ
พวกเขาต้องว้าวุ่น วุ่นวายใจ
เหน็ดเหนื่อย บางคนสิ้นหวัง และมารีย์ โยเซฟก็ตกในภาวะคับขันเหมือนประชาชนอื่นๆ
ในเมืองนั้น แต่เมื่อสถานการณ์บังคับ เพราะถึงเวลาที่จะต้องคลอดลูก เลยต้องเลือกคอกเลี้ยงสัตว์ที่มีลักษณะเป็นถ้ำเป็นที่ให้มารีย์คลอดบุตร แล้วใช้รางหญ้าต่างเปลนอนให้ทารก
ท่ามกลางความเหนื่อยอ่อนหมดแรง ท่ามกลางความยุ่งยาก วุ่นวาย
แก่งแย่งกัน แล้วยังได้ยินเรื่องประหลาดอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับทารกที่เกิดมา ที่สอดคล้องกับคำทำนายของผู้เผยพระวจนะ
สอดคล้องกับข้อมูลที่ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่เธอก่อนหน้านี้เกือบปี และตรงกับคำทักทายของนางเอลีซาเบ็ธญาติของเธอเมื่อประมาณครึ่งปีที่ผ่าน เราจะพบในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า มารีย์ไม่ได้ประหลาดอัศจรรย์ใจอย่างคนอื่นๆ เมื่อได้รับบอกเล่าข่าวดีจากคนเลี้ยงแกะ
แต่มารีย์นำเอาคำบอกเล่าข่าวดีนั้นมา
“รำพึง” หรือ “ใคร่ครวญ” ในใจ (ข้อ 19)
มารีย์ไม่ได้เต้นไปตามจังหวะ
และ กระแสความวุ่นวาย สับสน เหน็ดเหนื่อย
แต่มารีย์มีจิตใจที่สงบท่ามกลางความสับสนว้าวุ่นสิ้นหวัง แล้ว “รำพึง” “ใคร่ครวญ”
คิดติดตามถึงเหตุการณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเธอ และ
ของทารกน้อยที่พระเจ้าทรงให้เธอปกป้องดูแล
แน่นอนครับ มารีย์ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งในอนาคตอันใกล้ กับอนาคตอันไกล แต่เธอรู้
เชื่อ มั่นใจ และไว้วางใจในพระราชกิจที่พระเจ้ากำลังกระทำ และคลี่คลายเปิดเผยให้เธอเรียนรู้ไปวันต่อวัน เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์
มารีย์ได้มอบกายถวายชีวิตของเธอแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็น
“ทาสี” ของพระองค์
ชีวิตของมารีย์เป็นชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป้าหมายปลายทางชีวิตของเธอคือการรับใช้พระองค์ตามที่พระองค์มีพระประสงค์
ดังนั้นเธอจึงสามารถสงบได้เพราะเธอเชื่อและไว้วางใจว่า อะไรที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเธอเป็นพระประสงค์อันดีเลิศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้น
ชีวิตในทุกวันทุกเหตุการณ์จึงถูกเธอนำมาใคร่ครวญ และ
รำพึงภาวนาในจิตใจที่สงบของเธอ
คริสต์มาสที่ผ่านมาเราตื่นเต้น
ประหลาดอัศจรรย์ใจ เหน็ดเหนื่อย วุ่นวาย
สิ้นหวังเหมือนคนทั้งหลาย
หรือเราสงบ รับรู้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่นิ่ง แล้วนำสิ่งเหล่านั้นใคร่ครวญ รำพึง
ภาวนา ถึงพระราชกิจและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน? ในแต่ละวัน?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น