การทำให้คริสตจักรเติบโต และ การสร้างผลกระทบต่อชีวิตชุมชนเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนไปด้วยกัน แท้จริงแล้ว ทั้งสองเป็นพันธกิจที่ทับซ้อนต่างสัมพันธ์กันอย่างยากที่จะแยกออก
ประเด็นอยู่ที่การจัดลำดับขั้นตอนความสำคัญของความพยายามและแรงจูงใจต่อการทำพันธกิจทั้งสอง ถ้าจัดลำดับพันธกิจการพัฒนาเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตในชุมชนเป็นลำดับแรก ที่เป็นทั้งแรงกระตุ้นและพลังขับเคลื่อน การเจริญเติบโตของคริสตจักรมักจะตามมา
เมื่อเราคุยกันในเรื่องนี้ มักมีคำถามว่า แล้วจะทำพันธกิจชุมชนอย่างไร? แบบไหน? ที่จะสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชุมชนในพื้นที่เป้าหมายที่เราทำพันธกิจ
สัญญาณ 5 ประการ ที่พันธกิจจะส่งผลกระทบที่ดีต่อคุณภาพชีวิตชุมชน
1) เมื่อพระเยซูคริสต์ทำพันธกิจเกือบทุกครั้งพระองค์จะทำในชุมชน ตามข้างถนน มิใช่ในพระวิหาร (แล้วท่านทำพันธกิจชีวิตชุมชนในคริสตจักร หรือ ในชุมชน?)
พระเยซูคริสต์ไปหาประชานเพื่อทำพันธกิจกับพวกเขา (มิใช่รอให้ประชาชนมาหาตน)
เรื่องราวในพระกิตติคุณเราจะเห็นถึงปฏิสัมพันธ์ที่พระองค์มีกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม พระองค์ใช้ชีวิตกับประชาชน พระองค์มิได้มีคริสตจักร(สถานที่ อาคาร เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ) เหมือนเราท่านในปัจจุบัน แต่พระองค์มุ่งมั่นตั้งใจใช้ชีวิตอยู่กับประชาชนในชุมชน
น่าสังเกตว่า มีความแตกต่างในการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์ กับ คริสตจักรของเราในปัจจุบันเป็นอย่างมาก คริสตจักรที่ใหญ่และประสบความสำเร็จ จะเป็นคริสตจักรที่จะสนใจจัดการภายในคริสตจักรทั้งชีวิตการงานและโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำมากกว่าภายนอกรั้วคริสตจักร
นี่อาจจะเป็นความจริงที่เราพบในปัจจุบัน และนี่มิใช่การกล่าวหาคริสตจักรใหญ่ในทุกวันนี้ แต่ต้องการให้เราพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความสัตย์ซื่อว่า เราจะตอบสนองต่อคุณภาพชีวิตชุมชนในทางที่ดีที่สุดได้อย่างไร
เป็นการสำคัญสำหรับเราที่จงใจใช้พลังที่เรามี เวลาของเรา และ ทรัพยากรด้านต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ พร้อมกับความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ที่พระเจ้าได้ประทานแก่คริสตจักรของเราเข้าไปในชุมชน มิใช่มัวใส่ใจทุ่มเทสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีอยู่กับคนที่รู้จักกับพระคริสต์แล้ว หรือสร้างโปรแกรม-โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน โดยให้คนที่สนใจต้องมาร่วมในคริสตจักร
ข้อคิดอีกประการ ในที่นี้เรามิได้ให้ความสำคัญว่า เรานำคริสตจักรของเราเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตชุมชนกี่เรื่อง กี่โครงการ หรือ ใช้ทรัพยากรมากน้อยแค่ไหน แต่ควรพิจารณาว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์และทำพันธกิจในชุมชนเป้าหมายนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วงานที่เราทำเป็นอย่างไรบ้าง? เกิดผล และ สร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชุมชนหรือไม่อย่างไร?
2) เมื่อคริสตจักรของท่านเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชุมชน คนในชุมชนจะยอมรับพันธกิจที่ท่านทำ และ ข่าวสารความจริงที่ท่านนำเข้าในชุมชนมากยิ่งขึ้น
วิธีการการทำพันธกิจของพระคริสต์ในชุมชนมีหลากหลายมากมาย พันธกิจที่เราเลือกทำในชุมชนนั้นต้องตอบสนองต่อความจำเป็นต้องการของผู้คนในชุมชน ด้วยศักยภาพและของประทานที่คริสตจักรได้รับจากพระเจ้า และเป็นพันธกิจที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน
เช่น ถ้าเป็นชุมชนเกษตรกร คริสตจักรอาจจะสามารถทำพันธกิจการทำเกษตรอินทรี เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกรและครอบครัว และผู้บริโภค อีกทั้งเป็นที่นิยมต้องการของตลาดมากขึ้นในปัจจุบัน
หรือ ถ้าในชุมชนมีเด็กเล็กก่อนวัยเรียนจำนวนมาก แต่ไม่มีคนเอาใจใส่ดูแล คริสตจักรสามารถทำพันธกิจศูนย์เด็กเล็ก เพื่อดูแลและเอาใจใส่พัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็กเหล่านั้น พร้อม ๆ กับการให้ความรู้เชิงปฏิบัติด้านการเลี้ยงดู และ ดูแลสุขภาพเด็กเล็กแก่พ่อแม่ของเด็กในชุมชนด้วย
แต่ขอกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การทำพันธกิจในชุมชนมิได้มุ่งเน้นว่ามีกี่โครงการ โครงการใหญ่โตหรือไม่ แต่เรามองว่า พันธกิจที่คริสตจักรทำนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตในชุมชนหรือไม่ ขอเน้นย้ำว่าอย่าทำพันธกิจมากมายหลายด้านเกินไป แต่ทำแล้วไปได้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เกิดผลแท้จริงยั่งยืน สู้ทำเพียง 1-2 พันธกิจที่สามารถทำอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ เกิดผลและผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อคนในชุมชนมองเห็นสิ่งที่คริสตจักรทำ ได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากงานพันธกิจของคริสตจักร ชุมชนรับรู้ได้ว่า คริสตจักรทำพันธกิจด้วยใส่ใจชีวิตคนในชุมชน โดยไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง สายตาคนในชุมชนมองดู คริสตจักรก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีทางที่บวก
ผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน จะเป็นกุญแจไขประตูใจของชุมชนเปิดออกยอมรับพระกิตติคุณที่คริสตจักรนำเข้าไปแบ่งปันแก่ชุมชน ผ่านชีวิตผู้เชื่อและพันธกิจที่ทำ
คนในชุมชนอาจจะไม่เคยเข้ามาในบริเวณคริสตจักรของท่าน คนในชุมชนอาจจะมองว่าคริสตจักรเป็นตัวประหลาดในชุมชน หรือเป็นสถานที่ลึกลับน่าสงสัย มองว่าคริสตจักรคือตัวการที่จะเปลี่ยนศาสนาของชุมชน แต่เมื่อสัมผัสกับการทำพันธกิจ และ ผลจากจากการทำพันธกิจชุมชนของคริสตจักรแห่งนั้น ท่าที ความเข้าใจเปิดรับคริสตจักรจะมากขึ้น จากที่เคยต่อต้านคริสตจักร กลับกลายเป็นคนบอกให้ลูกหลานมาที่คริสตจักรเพื่อร่วมในโปรแกรมช่วยน้องทำการบ้านที่คริสตจักรจัดขึ้น หรือให้มาเรียนดนตรีที่คริสตจักรเปิดสอน (สิ่งที่เกิดขึ้นจริง)
3) การทำให้คริสตจักรเจริญเติบโตเป็นสิ่งที่เราทำตามความต้องการของเรา แต่การที่เราสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตชุมชนเราจะต้องทำตามความต้องการจำเป็นของชุมชน
เราตัดสินใจว่าคริสตจักรของเราต้องการมีโครงสร้างและการบริหารแบบไหน หรือจะมีโปรแกรมในคริสตจักรอะไรบ้าง ผู้นำคริสตจักรจะเป็นคนรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ ทำหน้าที่ในการตัดสินประเด็นหลัก ๆ ตามวัฒนธรรม และ ประเพณีปฏิบัติในคริสตจักรของเรา
แต่เมื่อเราจะทำพันธกิจที่ส่งผลลัพธ์และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในชุมชน เราจำเป็นจะต้องลงไปสอบถามคนในชุมชน ถึงชีวิตจริงที่พวกเขาประสบอยู่ ในบริบทที่เป็นจริงของเขาว่าเขามีความจำเป็นต้องการการหนุนเสริมในด้านใดของชีวิต ไม่ใช่ทำโครงการที่นำเข้าชุมชนตามงบประมาณที่มีผู้ถวาย หรือ ตามแหล่งทุน หรือ โครงการของเอ็นจีโอ หรือหน่วยงาน
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะทำลีกกีฬาขึ้นในคริสตจักรและคาดหวังให้ชุมชนเข้ามาร่วม ทำไมคริสตจักรไม่เข้าไปในชุมชนสำรวจถึงความจำเป็นต้องการ และอาจจะอาสาที่จะนำ โค้ช หรือสนับสนุนการเงิน สำหรับกลุ่ม(ลีก)กีฬาต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในชุมชน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดหรือ ถูก แต่บางวิธีในการทำพันธกิจจะช่วยให้คริสตจักรสามารถเข้าร่วมชีวิตชุมชนได้ดีกว่า
4) ท่านสามารถที่จะทำให้คริสตจักรเจริญเติบโตบนฐานรากทางประวัติศาสตร์และประเพณีนิยมของคริสตจักร แต่ท่านจะสร้างผลกระทบต่อชีวิตชุมชนได้ด้วยกระบวนการที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน
เป็นความจริงว่า
เมื่อคริสตจักรมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น และ ทำพันธกิจได้ดี ย่อมดึงดูดความสนใจคริสตชนจำนวนมาก
แต่ถ้าคริสตจักรจะรับใช้คนที่ได้รับความเจ็บปวดในชีวิต หรือคนที่ออกห่างไปจากพระเจ้า การแสดงออกถึงความรักเมตตาต่อคนเหล่านี้อาจจะไม่ช่วยให้คริสตจักรของท่านมีชีวิตในคริสตจักรที่ดีขึ้น แต่แน่นอนการทำพันธกิจเช่นนี้เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า
ดังนั้น ถ้าคริสตจักรจะทำพันธกิจเพื่อสร้างผลกระทบที่มีพลังต่อชีวิตของคนในชุมชน ชีวิตของคนในชุมชนย่อมต้องเป็นความใส่ใจหลักของเรา เพื่อคริสตจักรจะสามารถเข้าถึงชีวิตของชุมชนด้วยพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
5) ยิ่งถ้าคริสตจักรของท่านได้สร้างผลกระทบที่ดีต่อคุณภาพชีวิตชุมชน มีโอกาสที่คริสตจักรจะได้รับการต่อต้านจากคนบางคนบางกลุ่มในคริสตจักร
เมื่อคริสตจักรทำพันธกิจชีวิตชุมชนอย่างเกิดผล มิใช่จะได้รับการยอมรับ-ชื่นชอบจากชุมชนเท่านั้น แต่ในบางครั้งอาจจะได้รับการต่อต้าน หรือ ขัดขวางจากคนบางกลุ่ม/บางคนใน "คริสตจักร" ก็ได้
ศัตรูของคริสตจักรชอบที่คริสตจักรชื่นชมแสวงหาความสุขสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ และเน้นพันธกิจในขอบรั้วคริสตจักร คริสตจักรที่อยู่อย่างสะดวกสบาย ศัตรูหรือมารร้ายจะไม่คุกคามข่มขู่จิตวิญญาณของคริสตจักรนั้น
ในทางตรงกันข้าม เมื่อคริสตจักรเริ่มทำพันธกิจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยศักยภาพที่คริสตจักรมีอยู่ และด้วยรูปแบบพันธกิจต่าง ๆ จากความรักเมตตาไปสู่ความยุติธรรม บนฐานรากความเมตตาที่เสียสละแบบพระคริสต์ ศัตรูหรือมารร้ายจะทำให้คริสตจักรต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ เพื่อขัดขวางยับยั้งพันธกิจชุมชนที่คริสตจักรทำนั้น
น่าประหลาดใจอย่างมาก เมื่อคริสตจักรพยายามที่จะกระทำความเมตตากรุณาด้วยน้ำใจที่กว้างขวางแก่ผู้คนในชุมชนที่ตกอยู่ในความจำเป็นต้องการ ก็จะเกิดการต่อต้านในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้น “ในคริสตจักร” เพราะมารต้องการขัดขวางการที่คริสตจักรมุ่งรับใช้พระคริสต์ในชุมชน แต่เราจะไม่ยอมปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มาหยุดเราในการทำพันธกิจของพระคริสต์ในชุมชน
วิธีการที่ยิ่งใหญ่ในการต้อสู้กับศัตรูผู้ต่อต้านการทำพันธกิจของพระคริสต์ในชุมชนคือ ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในพระนามของพระเยซูคริสต์ และแน่นอนว่า ชัยชนะเหนือศัตรูของคริสตจักรจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ยอมต่อสู้กับมารร้ายนี้ แต่เราต้องสู้กับมารร้ายนี้ด้วยพระกำลังและสิทธิอำนาจจากพระเยซูคริสต์ มิใช่ด้วยกำลังความสามารถของเราเอง
อาวุธที่ยิ่งใหญ่ของคริสตจักรในการต่อสู้กับมารร้ายคือการอธิษฐาน และ พลังอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่เคียงข้างพวกเรา ให้เรามุ่งมั่นก้าวต่อไปข้างหน้า และนี่คือเส้นทางที่จะเสริมสร้างให้สมาชิกในคริสตจักรเติบโต แข็งแรง และ เกิดผล คือมีคริสตจักรที่เติบโต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น