บางคนห่วงกังวลว่า ผู้เชื่อใหม่มีการเปลี่ยนแปลงเติบโตในชีวิตอย่างเชื่องช้า แต่เราน่าจะห่วงกังวลผู้เชื่อเก่าที่หยุดการเปลี่ยนแปลงเติบโตในชีวิตมานานแล้วมากกว่า?
ผู้เชื่อใหม่เพิ่งพบกับความเชื่อศรัทธาใหม่
เขาต้องพบกับสิ่งใหม่ ความไม่คุ้นชินเกี่ยวกับชีวิตใหม่ หรือบ้างอาจจะเผลอพลาดทำผิดตามความคุ้นชินในอดีต
หรืออิทธิพลที่ชั่วร้ายในตัวเขายังขจัดออกไปไม่หมด และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเติบโตเพียงเล็กน้อย
นั่นเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจกันได้
โดยปกติเราจะอดทนกับลักษณะชีวิตของผู้เชื่อใหม่ที่กล่าวข้างต้น
แต่ที่น่าห่วงกังวลและต้องใส่ใจคือคนที่มีความเชื่อศรัทธาที่ยาวนานพอประมาณแต่ชีวิตกลับหยุดชะงักในการเปลี่ยนแปลงและเติบโตมานานแล้ว
กลายเป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียว ใจแคบ แต่พวกนี้มักเก่งในการอ้างข้อพระคัมภีร์ป้องกันตนเองเสมอ
คนกลุ่มนี้จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่างรุนแรงเสียดแทงให้เจ็บปวดด้วยจิตใจขมขื่นของตน
พันธกิจแนวใหม่ของเขาคือการฉุดลากทำร้ายคนอื่นให้เสียหายบาดเจ็บ พวกนี้เปลี่ยนจากที่เคยทุ่มเทชีวิตให้แก่การประกาศพระกิตติคุณเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์คริสตชนคนอื่น
ๆ อย่างเสียหาย
อะไรเกิดขึ้นกับคนพวกนี้หรือ? ทำไมเขาถึงกลายมาเป็นคนแบบนี้? ทำไมเขาถึงหยุดที่จะเดินไปกับพระคริสต์ ชีวิตของคริสตชนกลุ่มนี้หยุดการเปลี่ยนแปลงเติบโต
เมื่อเราอ่านถึงโยนาห์บทที่
4 เราจะเห็นเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้น โยนาห์เป็นคนที่มีวุฒิภาวะในความเชื่อมาก่อน เขาน่าจะมีความรู้มากมาย แต่ชีวิตและความเชื่อของเขากลับทรุดเลวร้ายไปเป็นชีวิตอย่างเดิมของเขา
ถ้าจะกล่าวว่า โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่หลงหายคงไม่ผิด และเขามีความโกรธและรู้สึกขมขื่นต่อพระเจ้า
“...เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง
และท่านโกรธ” (โยนาห์ 4:1 มตฐ.)
พระเจ้าทรงช่วยผู้คนต่าง
ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง และพวกเขาอาจจะกระทำสิ่งผิดพลาดที่ร้ายแรงและกระทำผิดบาปในเวลาต่อมา
เราสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของอับราฮัม โมเสส แซมสัน ดาวิด และ ซีโมน เปโตร
โยนาห์นั่งรอเวลาการพิพากษาเมืองนีนะเวห์จากเบื้องบน
แต่ปรากฏว่ากลับเป็นพระเมตตาคุณของพระเจ้าหลั่งไหลลงสู่เมืองนีนะเวห์ ในทำนองเดียวกัน
คริสตชนคนบางกลุ่มมักมีฐานเชื่อ กระบวนคิด และ มุมมองต่อคนที่กระทำความผิดบาปว่า คนพวกนี้ไม่มีความหวัง
ไม่มีทางที่จะพบกับความรอด แต่กลับมองไม่เห็นความบาปผิดของตนเอง
และสำคัญผิดคิดว่าตนเองเป็นผู้ถูกต้องชอบธรรมเสมอ คนกลุ่มนี้จึงมักหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผิดคนบาปในสายตาของเขา
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนบาปคนชั่วในสายตาของเขาจะมีทางกลับใจใหม่ มีแต่การสาปแช่งและความตายเท่านั้นที่จะมาถึงคนพวกนี้
ยิ่งกว่านั้น ผู้รับใช้อย่างโยนาห์กลับโกรธและต่อว่าพระเจ้า
ที่ทำให้คนนีนะเวห์กลับใจใหม่ แต่ต้นไม้บังแดดของตนกลับเหี่ยวเฉา เขาโกรธและต่อว่าพระเจ้าว่า
ทำไมไม่ช่วยตนเองแต่กลับไปช่วยคนผิดคนบาปในเมืองนีนะเวห์ แล้วพูดประชดพระเจ้าว่า
“(ให้)ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” (4:8)
พระเจ้าทรงตำหนิโยนาห์คิดแต่ความสำคัญและคุณค่าในชีวิตของตนเอง
และหวงแม้แต่ทรัพย์สินสิ่งของที่ให้ประโยชน์แก่ตนเอง แต่กลับไม่เห็นคุณค่าชีวิตคนในเมืองนีนะเวห์
พระยาห์เวห์ตรัสแก่โยนาห์ว่า
“เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้าไม่ได้ลงแรงปลูกและไม่ได้ทำให้มันเจริญ
มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว ไม่สมควรหรือที่เราจะห่วงใยนีนะเวห์นครใหญ่นั้น
ซึ่งมีพลเมืองมากกว่า 120,000 คน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย
และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วย” (4:10-11)
พระเจ้าจะต่อว่าเรา
อย่างที่ตำหนิต่อว่าโยนาห์ได้หรือไม่หนอ? เราเป็น
“ผู้เผยพระวจนะที่หลงหาย” “ผู้รับใช้ที่หลงหาย” “คริสตชนที่หลงหาย”
“ลูกของพระเจ้าที่หลงหาย” หรือเปล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น