23 ตุลาคม 2563

เทศนาเพื่อให้เกิดการปฏิบัติจริง

                พระเยซูคริสต์เทศนาให้เกิดการกระทำตาม

                ไม่ใช่เทศน์เพื่อให้คนฟังเกิดความรู้เท่านั้น

การเทศนาของพระเยซูคริสต์ เป็นการเทศนาเพื่อให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติจริง เป็น “ปัญญาปฏิบัติ” มิได้เป็นเพียง “ปัญญาประดับ” คำเทศนาของพระองค์ชัดเจน เหมาะสมกับบริบท และสถานการณ์ชีวิตของผู้ฟัง และเป็นคำเทศนาที่ผู้ฟังนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน เป็นคำเทศนาที่เรียบง่ายแก่การเข้าใจของสามัญชนคนทั่วไป   คำเทศนาของพระองค์มิใช่เป็นเพียง “คำสอน” เท่านั้น

เราสามารถพิจารณาได้จากคำเทศนาชุดโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วไป “คำเทศนาบนภูเขา” หรือ “การเทศนาบนเนินเขา”  เป็นคำเทศนาของพระเยซูคริสต์ที่มีลักษณะเด่นดังนี้

[1] เป็นคำเทศนาที่ชี้ชัดถึงหลักปฏิบัติที่นำไปสู่ “ความสุขในชีวิต”

[2] เป็นการสนทนาถึงการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย การควบคุมความโกรธ การพลิกฟื้นคืนดีความสัมพันธ์ และประเด็นการกระทำผิดทางเพศ และ การหย่าร้าง

[3] จากนั้น พระองค์พูดถึงการรักษาคำสัญญา และ การกระทำดีตอบแทนการกระทำชั่ว

[4] พระองค์ชี้ชัดถึงการปฏิบัติในประเด็น “ชีวิตภายในของตน” เช่น การให้และถวายด้วยท่าทีทัศนะที่ถูกต้อง หลักปฏิบัติในการอธิษฐาน การเพิ่มพูน “ทรัพย์สมบัติในสวรรค์” และการรู้เท่าทันและเอาชนะความวิตกกังวลในชีวิต

[5] แล้วพระองค์ขมวดท้ายการเทศนาเชิงปฏิบัติของพระองค์ด้วยการไม่ตัดสินคนอื่น และให้อธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นต้องการในชีวิตของตนด้วยความเพียรรอคอย ด้วยความยืนหยัด อดทน และ เตือนให้ผู้ฟังระมัดระวังคำสอนเทียมเท็จ

[6] พระองค์ลงท้ายด้วยเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย ที่มุ่งเน้นถึงการเป็นผู้ฟังที่เกิดผลคือผู้ฟังที่ใส่ใจในการปฏิบัติตามคำสอนที่ตนได้ยินได้ฟังจากพระองค์ เพื่อให้เป็นความเชื่อที่เป็น “ปัญญาปฏิบัติ” มิใช่เป็นเพียง “ปัญญาประดับ” เท่านั้น

นี่คือคำเทศน์/การเทศน์ ที่เราจำเป็นต้องมีในปัจจุบันนี้ เป็นคำเทศน์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต การเทศนาแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการประกาศว่า “พระคริสต์คือคำตอบ” แต่ต้องแสดงให้ผู้ฟังเห็นชัดเจนว่า “พระคริสต์เป็นคำตอบอย่างไร”

คำเทศนาจำนวนมากในปัจจุบันเป็นคำเทศนาแบบ “บ่น วิพากษ์ ตีตราว่าร้าย” เป็นคำเทศน์ที่มีแต่บ่นว่าสถานการณ์และผู้คนเลวร้ายในสังคมปัจจุบัน ใช้เวลาวิเคราะห์เพื่อวิพากษ์และตีตราว่าร้ายสังคมและผู้คนในสังคมแต่ไม่พบแนวทางที่จะ “เยียวยารักษา” ความเหลวแหลกของผู้คนสังคมในปัจจุบัน และมักกล่าวถึงคริสตชนเองเป็นคนดี คนข้างนอกเป็นคนชั่ว แต่ไม่ได้มีการชี้วิธีและแนวทางในการแก้ไข ฟื้นฟูให้ดีขึ้น คำเทศนากลุ่มนี้ไม่ได้ทำตามคำเทศนาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า ให้เราจุดตะเกียงแล้ววางไว้ที่สูงเพื่อให้ส่องสว่างแก่ผู้คนในห้องนั้น การเทศน์ของคริสตชนกลุ่มนี้ควรหยุดที่จะแช่งด่าความมืด สาเหตุของความมืด แต่ทำแบบพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นแสงสว่างเพื่อให้ผู้คนได้ยินได้ฟังและได้เห็น “ทางออก” แนวทางการแก้ไข เยียวยา รักษาชีวิตของสังคมและผู้คนในสังคมนั้น

เมื่อผมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล สิ่งที่ผมต้องการได้ยินได้ฟังคือ สุขภาพของผมตอนนี้มีอะไรที่ผิดปกติ แล้วต้องการคำชี้แนะจากแพทย์ถึงแนวทางขั้นตอนที่ชัดเจนว่า ผมจะต้องทำอย่างไรที่จะป้องกัน รักษา เยียวยาความผิดปกติในตัวผม ที่จะทำให้ชีวิต สุขภาพ ความเป็นอยู่ของผมดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยไม่ต้องการฟังเพียง “ข่าวร้าย” ในสุขภาพของเขา แต่เขาต้องการขั้นตอนที่จะแก้ไข พลิกฟื้น รักษา สุขภาพของตนให้ดีขึ้น “ได้อย่างไร?”

การเทศนาที่ตีตราว่าร้ายเท่านั้น โดยปราศจากแนวทาง วิธีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง ฟื้นฟู และพัฒนาที่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รังแต่จะสร้างความวุ่นวาย สับสนห่วงกังวลใจแก่ผู้ฟังเทศน์เท่านั้น

พระคัมภีร์มิได้มีไว้เพิ่มพูนความรู้ปัญญาของเราเท่านั้น แต่พระคัมภีร์ต้องการเปลี่ยนแปลง สร้างเสริมพัฒนา และพลิกฟื้นชีวิตของคนอ่านคนฟังให้มีคุณภาพชีวิตรอบด้านดียิ่งขึ้น และเป้าหมายปลายทางของการเปลี่ยนแปลงคือ การที่เราแต่ละคนมีชีวิตประจำวันที่เป็นเหมือนคุณภาพชีวิตแบบพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน

พระเยซูคริสต์บอกอย่างชัดเจนว่า “...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10 อมธ.) พระเยซูคริสต์ไม่ได้บอกว่า “เรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีศาสนาที่ถูกต้อง...” พระเยซูคริสต์ไม่ได้มาสอนศาสนาที่ดีเที่ยงแท้ แต่พระองค์มาในสังคมโลกเพื่อให้เราท่านได้ชีวิตที่สมบูรณ์พูนครบ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเป็น “นักเทศน์เพื่อชีวิต เพื่อการปฏิบัติ” และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์เทศน์เสร็จ พระองค์บอกกับฝูงชนคนฟังเทศน์ในครั้งนั้นว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น” (ลูกา 10:37 มตฐ.)

การเทศนาแบบพระเยซูคริสต์ เป็นการเทศนาที่อธิบายถึงชีวิตของประชาชนคนฟังเทศน์ แล้วเน้นย้ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แต่ละคนเป็นอยู่ ชีวิตที่เป็นอย่างคำสอนคำเทศนาของพระคริสต์มิใช่เพียงแต่ “รู้และเชื่อในคำสอน” ของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากคำสอนของพระคริสต์ คำสอนของพระคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราโดยการที่แต่ละคนยอมรับเอาคำสอนของพระองค์และประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของตน คนฟังเทศน์ในยุควิกฤติชีวิตเฉกเช่นปัจจุบัน โดยแสวงหาว่า เขาจะมีชีวิตที่มีคุณภาพได้อย่างไร การเทศนาแบบพระเยซูคริสต์จึงยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหาอยู่ในปัจจุบัน

เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ขอให้เปลี่ยนข่าวสารคำสอนคำเทศน์ของพระเยซูคริสต์ หรือ ลดความเข้มข้นคำสอนของพระองค์ลง แต่พวกเขาต้องการให้เราทำให้เขาเห็นชัดเจนว่า การกระทำอย่างไรที่เหมาะสมเป็นคำตอบชีวิตที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ คำถามใหญ่ของคนกลุ่มนี้คือ แล้วทำไมจะต้องทำอย่างนั้น? คนที่ยังไม่เชื่อมีความสนใจในหลักข้อเชื่อ/คำสอนเชิงปฏิบัติ และ วิธีการปฏิบัติที่ตอบโจทย์ชีวิต ที่ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริงในแต่ละวันได้อย่างไรมากกว่า

ถ้าเราจะให้คนฟังทั้งคนที่เชื่อและยังไม่เชื่อสนใจในเนื้อหาสาระที่เราเทศน์ เราต้อง “ชี้ชัด” คำเทศน์คำสอนจากพระคัมภีร์ให้ตอบโจทย์ชีวิตของเขา หรือ เข้ากับวิถีชีวิตของคนฟัง

เราไม่ต้อง “ปรับเปลี่ยนคำเทศน์คำสอนจากพระคัมภีร์” แต่เราต้องอธิบายให้พวกเขาเห็นภาพและความหมายของพระคัมภีร์ข้อนั้น ๆ และชี้นำต่อไปว่า มีวิธีการ ขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรที่ผู้ฟังสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวัน

เราไม่ต้องปรับเปลี่ยนพระวจนะให้สอดคล้องกับชีวิตในเวลานี้ แต่ให้พระวจนะปรับเปลี่ยนชีวิตที่เรากำลังเป็นอยู่ให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น