พระเยซูคริสต์เทศนาให้เกิดการกระทำตาม
ไม่ใช่เทศน์เพื่อให้คนฟังเกิดความรู้เท่านั้น
การเทศนาของพระเยซูคริสต์
เป็นการเทศนาเพื่อให้ผู้ฟังนำไปปฏิบัติจริง เป็น “ปัญญาปฏิบัติ” มิได้เป็นเพียง
“ปัญญาประดับ” คำเทศนาของพระองค์ชัดเจน เหมาะสมกับบริบท
และสถานการณ์ชีวิตของผู้ฟัง และเป็นคำเทศนาที่ผู้ฟังนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน
เป็นคำเทศนาที่เรียบง่ายแก่การเข้าใจของสามัญชนคนทั่วไป คำเทศนาของพระองค์มิใช่เป็นเพียง “คำสอน”
เท่านั้น
เราสามารถพิจารณาได้จากคำเทศนาชุดโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วไป
“คำเทศนาบนภูเขา” หรือ “การเทศนาบนเนินเขา”
เป็นคำเทศนาของพระเยซูคริสต์ที่มีลักษณะเด่นดังนี้
[1] เป็นคำเทศนาที่ชี้ชัดถึงหลักปฏิบัติที่นำไปสู่
“ความสุขในชีวิต”
[2] เป็นการสนทนาถึงการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย
การควบคุมความโกรธ การพลิกฟื้นคืนดีความสัมพันธ์ และประเด็นการกระทำผิดทางเพศ และ
การหย่าร้าง
[3] จากนั้น
พระองค์พูดถึงการรักษาคำสัญญา และ การกระทำดีตอบแทนการกระทำชั่ว
[4] พระองค์ชี้ชัดถึงการปฏิบัติในประเด็น
“ชีวิตภายในของตน” เช่น การให้และถวายด้วยท่าทีทัศนะที่ถูกต้อง หลักปฏิบัติในการอธิษฐาน
การเพิ่มพูน “ทรัพย์สมบัติในสวรรค์” และการรู้เท่าทันและเอาชนะความวิตกกังวลในชีวิต
[5] แล้วพระองค์ขมวดท้ายการเทศนาเชิงปฏิบัติของพระองค์ด้วยการไม่ตัดสินคนอื่น
และให้อธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นต้องการในชีวิตของตนด้วยความเพียรรอคอย
ด้วยความยืนหยัด อดทน และ เตือนให้ผู้ฟังระมัดระวังคำสอนเทียมเท็จ
[6] พระองค์ลงท้ายด้วยเรื่องเล่าที่เข้าใจง่าย
ที่มุ่งเน้นถึงการเป็นผู้ฟังที่เกิดผลคือผู้ฟังที่ใส่ใจในการปฏิบัติตามคำสอนที่ตนได้ยินได้ฟังจากพระองค์
เพื่อให้เป็นความเชื่อที่เป็น “ปัญญาปฏิบัติ” มิใช่เป็นเพียง “ปัญญาประดับ”
เท่านั้น
นี่คือคำเทศน์/การเทศน์
ที่เราจำเป็นต้องมีในปัจจุบันนี้ เป็นคำเทศน์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต การเทศนาแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการประกาศว่า
“พระคริสต์คือคำตอบ” แต่ต้องแสดงให้ผู้ฟังเห็นชัดเจนว่า
“พระคริสต์เป็นคำตอบอย่างไร”
คำเทศนาจำนวนมากในปัจจุบันเป็นคำเทศนาแบบ
“บ่น วิพากษ์ ตีตราว่าร้าย” เป็นคำเทศน์ที่มีแต่บ่นว่าสถานการณ์และผู้คนเลวร้ายในสังคมปัจจุบัน
ใช้เวลาวิเคราะห์เพื่อวิพากษ์และตีตราว่าร้ายสังคมและผู้คนในสังคมแต่ไม่พบแนวทางที่จะ
“เยียวยารักษา” ความเหลวแหลกของผู้คนสังคมในปัจจุบัน และมักกล่าวถึงคริสตชนเองเป็นคนดี
คนข้างนอกเป็นคนชั่ว แต่ไม่ได้มีการชี้วิธีและแนวทางในการแก้ไข ฟื้นฟูให้ดีขึ้น คำเทศนากลุ่มนี้ไม่ได้ทำตามคำเทศนาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า
ให้เราจุดตะเกียงแล้ววางไว้ที่สูงเพื่อให้ส่องสว่างแก่ผู้คนในห้องนั้น การเทศน์ของคริสตชนกลุ่มนี้ควรหยุดที่จะแช่งด่าความมืด
สาเหตุของความมืด แต่ทำแบบพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นแสงสว่างเพื่อให้ผู้คนได้ยินได้ฟังและได้เห็น
“ทางออก” แนวทางการแก้ไข เยียวยา รักษาชีวิตของสังคมและผู้คนในสังคมนั้น
เมื่อผมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
สิ่งที่ผมต้องการได้ยินได้ฟังคือ สุขภาพของผมตอนนี้มีอะไรที่ผิดปกติ แล้วต้องการคำชี้แนะจากแพทย์ถึงแนวทางขั้นตอนที่ชัดเจนว่า
ผมจะต้องทำอย่างไรที่จะป้องกัน รักษา เยียวยาความผิดปกติในตัวผม ที่จะทำให้ชีวิต
สุขภาพ ความเป็นอยู่ของผมดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยไม่ต้องการฟังเพียง “ข่าวร้าย”
ในสุขภาพของเขา แต่เขาต้องการขั้นตอนที่จะแก้ไข พลิกฟื้น รักษา
สุขภาพของตนให้ดีขึ้น “ได้อย่างไร?”
การเทศนาที่ตีตราว่าร้ายเท่านั้น
โดยปราศจากแนวทาง วิธีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง ฟื้นฟู
และพัฒนาที่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รังแต่จะสร้างความวุ่นวาย
สับสนห่วงกังวลใจแก่ผู้ฟังเทศน์เท่านั้น
พระคัมภีร์มิได้มีไว้เพิ่มพูนความรู้ปัญญาของเราเท่านั้น
แต่พระคัมภีร์ต้องการเปลี่ยนแปลง สร้างเสริมพัฒนา และพลิกฟื้นชีวิตของคนอ่านคนฟังให้มีคุณภาพชีวิตรอบด้านดียิ่งขึ้น
และเป้าหมายปลายทางของการเปลี่ยนแปลงคือ
การที่เราแต่ละคนมีชีวิตประจำวันที่เป็นเหมือนคุณภาพชีวิตแบบพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
พระเยซูคริสต์บอกอย่างชัดเจนว่า
“...เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10 อมธ.) พระเยซูคริสต์ไม่ได้บอกว่า
“เรามาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีศาสนาที่ถูกต้อง...” พระเยซูคริสต์ไม่ได้มาสอนศาสนาที่ดีเที่ยงแท้
แต่พระองค์มาในสังคมโลกเพื่อให้เราท่านได้ชีวิตที่สมบูรณ์พูนครบ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเป็น
“นักเทศน์เพื่อชีวิต เพื่อการปฏิบัติ” และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์เทศน์เสร็จ
พระองค์บอกกับฝูงชนคนฟังเทศน์ในครั้งนั้นว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น” (ลูกา 10:37 มตฐ.)
การเทศนาแบบพระเยซูคริสต์
เป็นการเทศนาที่อธิบายถึงชีวิตของประชาชนคนฟังเทศน์ แล้วเน้นย้ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แต่ละคนเป็นอยู่
ชีวิตที่เป็นอย่างคำสอนคำเทศนาของพระคริสต์มิใช่เพียงแต่ “รู้และเชื่อในคำสอน”
ของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากคำสอนของพระคริสต์
คำสอนของพระคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราโดยการที่แต่ละคนยอมรับเอาคำสอนของพระองค์และประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของตน
คนฟังเทศน์ในยุควิกฤติชีวิตเฉกเช่นปัจจุบัน โดยแสวงหาว่า
เขาจะมีชีวิตที่มีคุณภาพได้อย่างไร การเทศนาแบบพระเยซูคริสต์จึงยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหาอยู่ในปัจจุบัน
เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า
คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ขอให้เปลี่ยนข่าวสารคำสอนคำเทศน์ของพระเยซูคริสต์
หรือ ลดความเข้มข้นคำสอนของพระองค์ลง แต่พวกเขาต้องการให้เราทำให้เขาเห็นชัดเจนว่า
การกระทำอย่างไรที่เหมาะสมเป็นคำตอบชีวิตที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ คำถามใหญ่ของคนกลุ่มนี้คือ
แล้วทำไมจะต้องทำอย่างนั้น? คนที่ยังไม่เชื่อมีความสนใจในหลักข้อเชื่อ/คำสอนเชิงปฏิบัติ
และ วิธีการปฏิบัติที่ตอบโจทย์ชีวิต
ที่ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริงในแต่ละวันได้อย่างไรมากกว่า
ถ้าเราจะให้คนฟังทั้งคนที่เชื่อและยังไม่เชื่อสนใจในเนื้อหาสาระที่เราเทศน์
เราต้อง “ชี้ชัด” คำเทศน์คำสอนจากพระคัมภีร์ให้ตอบโจทย์ชีวิตของเขา หรือ
เข้ากับวิถีชีวิตของคนฟัง
เราไม่ต้อง
“ปรับเปลี่ยนคำเทศน์คำสอนจากพระคัมภีร์” แต่เราต้องอธิบายให้พวกเขาเห็นภาพและความหมายของพระคัมภีร์ข้อนั้น
ๆ และชี้นำต่อไปว่า มีวิธีการ
ขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรที่ผู้ฟังสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวัน
เราไม่ต้องปรับเปลี่ยนพระวจนะให้สอดคล้องกับชีวิตในเวลานี้
แต่ให้พระวจนะปรับเปลี่ยนชีวิตที่เรากำลังเป็นอยู่ให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น