19 มีนาคม 2563

ภัยคุกคามของไวรัสโคโลน่า 19

ไม่ทำให้คริสตจักรเข้าถึงชุมชนโดยอัตโนมัติ  

ในภาวะวิกฤติไวรัสโคโลน่า 19 ที่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วโลกทั้งใบในวันนี้ หลายคนพูดว่า พระเจ้าจะใช้วิกฤตินี้ทำให้คริสตจักรท้องถิ่นทำตามพระมหาบัญชามากขึ้น แต่ผมกลับเห็นตรงกันข้ามครับ สถานการณ์คับขันมิได้ช่วยให้คริสตจักรเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตจิตวิญญาณโดยอัตโนมัติได้ ที่กล่าวเช่นนี้ขอตั้งข้อสังเกตบางประการดังนี้

1. หลายคริสตจักรที่ไม่รู้ตัวหรอกว่าก่อนที่จะเกิดภัยคุกคามจากโรคไวรัสโคโลน่า 19 คริสตจักรของตนสนใจแต่พันธกิจชีวิตภายในคริสตจักร...เพราะที่ผ่านมาคริสตจักรขาดการทบทวนและประเมินตนเอง แต่มักเข้าใจว่าคริสตจักรของตนทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์ เพราะมีชั้นเรียนสอนถึงพระคัมภีร์ในระดับต่าง ๆ และมีการนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์อย่างพร้อมเพียง

2. ภัยคุกคามจากโรคไวรัสโคโลน่า 19 จะไม่ช่วยหรือทำให้คริสตจักรที่สนใจแต่ตนเองเปลี่ยนไปเป็นคริสตจักรที่ใส่ใจชุมชนนอกคริสตจักรโดยอัตโนมัติ คริสตจักรที่สนใจแต่ชีวิตในคริสตจักรของตนเองเป็นคริสตจักรไม่สนใจชีวิต ความสัมพันธ์ และ การเข้าถึงผู้คนในชุมชน เมื่อเกิดภัยคุกคามจากไวรัสโคโลน่า 19 ยิ่งทำให้พวกเขาคิดถึงความปลอดภัยของตนเองมากขึ้น และผู้นำคริสตจักรมักกังวลว่า จะมีสมาชิกมาร่วมนมัสการอาทิตย์นี้สักกี่คน เงินถวายจากสมาชิกจะลดฮวบลงหรือไม่? กลายเป็นคริสตจักรที่ห่วงกังวลแต่ตนเอง เป็นคริสตจักรที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น

3. คริสตจักรส่วนใหญ่ที่เป็นคริสตจักรที่สนใจแต่พันธกิจชีวิตในคริสตจักรในภาวะที่ถูกคุกคามจากภัยพิบัติโรคไวรัสโคโลน่า 19 จะมุ่งเน้นแต่ที่จะทำอย่างไรที่จะปกป้องตนเองจากการไปสัมผัสรับเชื้อ ไวรัสโคโรน่า 19 จากคนอื่น (มักไม่คิดถึงคนอื่นที่อาจจะต้องถูกเชื้อโรคตัวนี้คุกคาม โดยเฉพาะคนนอกคริสตจักรที่อยู่ในสังคมชุมชน) ดังนั้น  สมมติ ฐานว่าภัยคุกคามของไวรัสโคโลน่า 19 จะกระตุ้นให้คริสตจักรที่ไม่เคยเข้าถึงคนในชุมชนจะเกิดความสนใจและหันหน้าเข้าถึงชุมชนจึงเป็นข้อสมมติฐานที่ไกลจากความเป็นจริง หรือมองโลกสวยเกินจริงหรือเปล่า?

4. ผู้นำคริสตจักรบางคนเลือกที่จะตัดสินใจบนรากฐานอุดมการณ์ทางการเมือง หรือ การตัดสินใจตามความชอบส่วนตัว ผลประโยชน์ส่วนตน หรือ ตามกลุ่มตามพวกตามพรรคพวกตนเอง มากกว่าที่จะตัดสินใจด้วยความรักเมตตาที่เสียสละแก่คนอื่นรอบข้างรวมทั้งคนในชุมชนด้วย ในวิกฤติกาลนี้สิ่งที่คริสตจักรจะต้องใส่ใจคือชีวิตการเป็นสาวกพระคริสต์ของตนเองสอดคล้องกับคำสอนและรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์หรือไม่ และถ้าเราตัดสินใจที่จะมีชีวิตเยี่ยงพระองค์เราจะต้องเริ่มต้นทำอย่างไรบ้าง?

5. ยิ่งภาวะคุกคามจากไวรัสโคโลน่า 19 ยาวนานออกไปอีกมากแค่ไหน อาจจะมีผลทำให้เกิดอาการความสนใจแต่ตนเอง หรือ “เห็นแก่ตัว” มากยิ่งขึ้นในคริสตจักรและคริสตชนที่สนใจแต่พันธกิจชีวิตในคริสตจักร เพราะคริสตจักรประเภทนี้มีฐานเชื่อกรอบคิดว่า จะทำอย่างไรที่ตน คริสตจักรของตนจะอยู่รอดปลอดภัยในภัยพิบัติสุขภาพครั้งนี้   มิได้มีฐานเชื่อกรอบคิดแบบพระคริสต์ที่มีชีวิตเพื่อ “ให้ชีวิต” เพื่อชุมชนคนรอบข้างจะอยู่รอดปลอดภัยด้วยความรักเมตตาที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อคนอื่น

6. คำถามที่ถามในที่นี้เป็นคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณภายในของเรา ที่มีผลกระทบจากการที่คริสตจักรของเราวุ่นอยู่กับการทำพันธกิจชีวิตในรั้วคริสตจักร โดยละเลยใส่ใจต่อพี่น้องของเราที่อยู่ในชุมชนรอบข้างที่อยู่นอกคริสตจักร

ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอะไรในภาวะเช่นนี้ ผมเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคริสต์ชน และ คริสตจักรในภาวะวิกฤติคับขันจะเกิดขึ้นได้ คริสตจักรต้องมุ่งมั่นตั้งใจ “รับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างจากพระคริสต์” และตัดสินใจถวายชีวิตที่จะกระทำตามพระประสงค์ของพระคริสต์ตามพระมหาบัญชาของพระองค์ มีข้อเสนอบางประการดังนี้
  • ขอเริ่มต้นอธิษฐาน และอธิษฐานเป็นประจำว่า พระเจ้าจะใช้สถานการณ์นี้ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเรา คริสตจักรของเราที่สนใจแต่ตนเอง ให้ชัดเจนถึงพระประสงค์ที่ต้องการให้คริสตจักรและสมาชิกทุกคนของพระองค์หันหน้าเข้าถึงชีวิตของผู้คนในชุมชนรอบข้างคริสตจักรและชีวิตของคริสต์ชนในพระนามพระเยซูคริสต์
  • ใช้สถานการณ์นี้ที่จะเข้าถึงและเสริมสร้างสัมพันธ์กับพี่น้องในชุมชน พยายามที่จะหาทางเข้าถึงคนในชุมชนมากกว่าการจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดคนในชุมชนเข้ามาร่วมในคริสตจักรของเรา พึงตระหนักว่า การสร้างเสริมสัมพันธ์และความผูกพันสำคัญกว่าที่คนในชุมชนมาร่วมกิจกรรมในคริสตจักร
  • ให้คริสตชนและคริสตจักรมองให้เห็นถึงพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ที่กำลังกระทำในชุมชนรอบข้างคริสตจักร และ อธิษฐานร่วมกันเพื่อขอเข้าร่วมในพระราชกิจที่พระองค์กำลังกระทำในชุมชน และขอพระองค์ทำพระราชกิจของพระองค์ในคริสตจักร ในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อคริสตจักรจะสามารถตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระองค์ในภาวะวิกฤตินี้ได้
  • เริ่มเตรียมความพร้อมภายในคริสตจักรของเรา ทั้งความพร้อมของสมาชิกแต่ละคนในการอ้าแขนรับผู้คนในชุมชนอย่างไม่มีเงื่อนไขแบบพระคริสต์ เตรียมอาคารสถานที่ และวัสดุอุปกรณ์ที่คริสตจักรมี เพื่อทำให้คริสตจักรคือพื้นที่ปลอดภัย และ พื้นที่ของความเป็นมิตรสำหรับทุกคน พื้นที่ของการรับใช้ด้วยชีวิต เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้ามาแล้วได้รับพระพรในชีวิตประจำวัน


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น