นี่มิใช่ครั้งแรกของโลกที่คริสตจักรท้องถิ่นต้องงดการนมัสการในอาคารโบสถ์
เคยเกิดเหตุการณ์ในทำนองคล้าย ๆ กันกับวิกฤติโควิด 19 นี้เมื่อปี ค.ศ. 1918 ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในอเมริกาและยุโรป
ทำไมถึงได้ชื่อว่า
ไข้หวัดใหญ่สเปน? ไวรัสตัวนี้มีต้นตอมาจากสัตว์ปีก
โดยเชื่อว่า เริ่มต้นแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานชาวจีน แล้วได้กลายพันธุ์ที่อเมริกา แต่ในที่สุดได้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงที่กรุงแมดริด
ประเทศสเปน จึงเรียกชื่อว่า “ไข้หวัดใหญ่สเปน” การแพร่ระบาดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตทั้งโลกถึงราว
50 ล้านคน
แต่ในเวลาเดียวกัน ไข้หวัดตัวนี้มิได้สร้างผลกระทบต่อด้านสุขภาพ
เศรษฐกิจ สังคม เท่านั้น แต่ได้สร้างผลกระทบต่อคริสตจักรที่ต้องงดการนมัสการร่วมกันในวันอาทิตย์ที่อาคารคริสตจักรด้วย
ตัวอย่างเช่น ในวันที่
7 ตุลาคม 1918 ผู้ว่าการรัฐ อาลาบามา Charles Henderson ได้มีคำสั่งให้ปิดคริสตจักร
โรงเรียน โรงภาพยนตร์ทุกแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสที่ได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันประมาณ
675,000 คน
ในวิกฤตกาลการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปนในปี
1918
คริสตจักรท้องถิ่นในอเมริกาได้รับมือกับการแพร่ระบาดที่เลวร้ายนี้อย่างไร? แล้วปัจจุบันนี้เราได้เรียนรู้อะไรจากคริสตจักรอเมริกาในยุคนั้น?
เมื่อต้องปิดโบสถ์
เขาจัดการอย่างไรกับวันอาทิตย์?
ดูไปแล้วความคิดก็คล้าย
ๆ กับคริสตจักรในปัจจุบัน...!?
คริสตจักรในยุค 1918
ได้หาวิธีการรับมือกับสถานการณ์ “ปิดโบสถ์” ที่เกิดขึ้น เช่น บางคริสตจักรจัดการให้รวมกันนมัสการในที่โล่งแจ้ง
หลายคริสตจักรได้จัดพิมพ์คำเทศนาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บางคริสตจักรได้จัดพิมพ์คำเทศนาแล้วส่งไปถึงบ้านสมาชิกคริสตจักรแต่ละคน/ครอบครัวทาง
“เมล์หอยทาก” (snail-mail ปัจจุบันฟังแล้วเราคงไม่เข้าใจกัน เช่น
มีคริสตจักรหนึ่งใช้ลูกเสือที่ช่วยจัดส่งคำเทศนาไปถึงแต่ละบ้าน)
คริสตจักรในเวลานั้นได้ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในการสื่อสารและอภิบาลสมาชิกของตนอย่างดีที่สุดที่เขาจะสามารถทำได้
คริสตจักรยอมหยุดชั่วคราว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการที่สมาชิกคริสตจักรไม่สามารถมาพบปะกันหน้าต่อหน้า
พวกเขาก็ใช้เวลาที่มีอยู่ในการที่จะเรียนรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผย และหนุนเสริมเพื่อนสมาชิกที่จะทำเช่นนี้ด้วย
เช่น ท่านศิษยาภิบาลคริสตจักรเมธิดิสท์ Pastor Fletcher Parrish จาก Eleventh Avenue Methodist Church ได้กล่าวว่า...
“การใคร่ครวญภาวนามีประโยชน์อย่างมากต่อจิตวิญญาณ
แต่โลกแห่งความรีบเร่งในเวลานี้(ในยุคนั้น)เรามีเวลาที่จะไตร่ตรอง
สะท้อนคิดที่จำกัด เรามักคิดว่าเราไม่มีเวลาที่จะคิดใคร่ครวญถึงชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ
หรือแม้แต่ที่จะมีเวลาจะนั่งสงบในบ้านที่จะครุ่นคิดไตร่ตรอง
แต่ตอนนี้พระเจ้าประทานโอกาส
“ช่วงเวลาสะบาโต” ที่เราจะอยู่สงบ คริสตจักรของเราปิด งดกิจกรรมชั่วคราว เราไม่ไปทำงานในวันปกติ
หรือแม้แต่งานในท้องทุ่ง เพราะเรากลัวว่าจะไปติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ เราจึงมีเวลาที่นั่งสงบลง
คิด ใคร่ครวญ และสะท้อนคิด ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับชีวิตของเรา...”
พวกเขาใช้โอกาสนั้นในการประเมินคุณค่าชีวิตใหม่
เมื่อชีวิตของพวกเขาต้องหยุดชั่วคราว
เขาใช้เวลานั้นในการประเมินถึงคุณค่า/ความสำคัญในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ศิษยาภิบาล S. O.
Cox จากคริสตจักรเพรสไบทีเรียน Handley Memorial ได้แบ่งปันบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้เรียนรู้ในคำเทศนาสำหรับสมาชิกในคริสตจักรของเขาว่า
“เราจำเป็นต้องใช้เวลาเก็บตัวในบ้านวันละหลาย
ๆ ชั่วโมงในการพักผ่อนและความบันเทิง ในสถานการณ์นี้ช่วยให้เราระลึกได้ว่า สิ่งล้ำค่า
ศักดิ์สิทธิ์ที่มีในครอบครัวนั้นคือสามัคคีธรรม หรือ มิตรภาพที่ดีที่สุด... และยิ่งถ้าเราใช้เวลานี้ในการอธิษฐาน
การใคร่ครวญเราก็จะเปลี่ยนสิ่งที่เลวร้ายขณะนี้กลายเป็นพระพรได้”
พวกเขาปรับเปลี่ยนให้เกิดประโยชน์
จากคำเทศนาด้วยวาจาปรับเปลี่ยนเป็นคำเทศนาที่จัดพิมพ์
นอกจากนั้นแล้ว อย่างคริสตจักร Calvary Episcopal ที่ Pittsburg ได้ดัดแปลงให้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว แล้วปรับใช้เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง
ๆ ที่มีให้ใช้ประโยชน์มากที่สุด คริสตจักรทำในสิ่งที่สำแดงออกถึงความเป็นคริสตจักรที่ตอบสนองพระกิตติคุณและความต้องการจำเป็นของโลกในเวลานั้น
พวกเขาโต้เถียงกัน
ในช่วงเวลาวิกฤติรุนแรง
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันว่า
คริสตจักรควรจะตอบสนองและรับมืออย่างไรต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดสเปน คนบางกลุ่มต้องการให้คริสตจักร
“เปิดโบสถ์ใหม่” อีกครั้งหนึ่งเร็วที่สุด หรือมีบ้างที่คิดว่า ไม่ควรจะปิดโบสถ์เลย
ในขณะที่มีคนเห็นว่า คริสตจักรควรปฏิบัติตามคำสั่งข้อปฏิบัติของรัฐบาล แต่เมื่อเวลาค่อย
ๆ ผ่านไป ศิษยาภิบาล และ ผู้นำคริสตจักรหันหน้ามาพูดจากันแบบเปิดใจว่า เราควรจะมีการนมัสการพบปะกันแบบหน้าต่อหน้าหรือไม่? อย่างไร?
นี่ก็คล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่คริสตจักรของเราได้พบในวิกฤติการแพร่ระบาดครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ในอเมริกาหลายพันคริสตจักรในแคลิฟอร์เนีย ที่ประกาศว่า
ได้วางแผนที่จะเปิดคริสตจักรใหม่อีกครั้งหนึ่งก่อนที่ฝ่ายรัฐจะมีแผนการนี้
พวกเขาเรียกร้องว่าการพบปะกันในคริสตจักรเป็นสิ่งที่จำเป็น และพวกเขาควรมีเสรีภาพที่จะพบปะกัน
การคิดการเชื่อเช่นนี้มิใช่สิ่งใหม่
ในปี 1918 ศิษยาภิบาล C. H. Watson ได้เขียนความคิดของเขาในแนวนี้ไว้ว่า
“ผมคิดว่าเวลาที่เจ็บป่วย และ
มีความยากลำบากเป็นเวลาที่เราจะต้องแสดงออกถึงความเชื่อของเราต่อพระเจ้ามิใช่หรือ? ในเวลาเช่นนี้แทนที่จะปิดโบสถ์ ควรจะเปิดโบสถ์ทุกวันมากกว่า เพื่อผู้คนจะสะดวกที่จะเข้ามาร่วมกันอธิษฐานต่อพระเจ้า
ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยขจัดเชื้อโรคร้ายนี้ออกไป...”
เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติที่ร้าย
ๆ ไม่ใช่สิ่งง่ายที่เราจะรับมือ สำหรับหลายคนคงพบว่านี่คือวิกฤตครั้งใหญ่ที่พบในชีวิต
เราสามารถเรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา
เราจะผ่านวิกฤตกาลนี้ไปได้ ในเวลาที่ดูเหมือนวิบากลำเค็ญ เราก็สามารถค้นพบด้านที่เราทำได้ดีเด่น
เป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้ และอุทิศตนที่จะเข้าถึงผู้คนที่ต้องการพระกิตติคุณของพระคริสต์มากกว่าในโอกาสใด
ๆ มาก่อน
อ้างอิง
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น