ในวิกฤติ โควิด 19
มีประเด็นหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองต่างขั้วที่เอาแพ้เอาชนะกันคือ
ชีวิตมาก่อนเศรษฐกิจ หรือ เศรษฐกิจมาก่อนชีวิต ในสมัยของพระเยซูก็เกิดการถกเถียงแย่งชิงกันในเรื่องเศรษฐกิจและอำนาจ จนพระเยซูต้องสอนให้ผู้ฟังได้คิดด้วยอุปมาเรื่อง
“เศรษฐีหน้าโง่”
ภาพรวมคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ใช้ตอบคำถามที่มีผู้ถามพระองค์
คำอุปมาคือเรื่องราวชีวิตจริงที่เป็นรูปธรรมบนโลกนี้ ที่มีความหมายคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า
และในอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่ (ลูกา 12:13-21) ก็เป็นเช่นนั้นด้วย
[13] มีชายคนหนึ่งในฝูงชนทูลพระองค์ว่า
“ท่านอาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกแก่ข้าพเจ้าด้วย”
[14] แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พ่อหนุ่ม
ใครตั้งเราให้เป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกให้ท่าน?” [15] แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ระวังให้ดี จงหลีกเลี่ยงจากความโลภทุกอย่าง
เพราะว่าชีวิตของคนไม่ได้อยู่ที่การมีของฟุ่มเฟือย”
[16] แล้วพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า
“ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก [17] เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า
‘ข้าจะทำอย่างไรดี? เพราะว่าข้าไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผลของข้า’
[18] เขาจึงคิดว่า ‘ข้าจะทำอย่างนี้
คือจะรื้อยุ้งฉางของข้าและจะสร้างใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น
แล้วข้าจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น [19] แล้วจะบอกกับจิตใจของข้าว่า
“จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม
และรื่นเริงเถิด” ’ [20] แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘โอ คนโง่
ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า
แล้วของที่เจ้ารวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร?’ [21] คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว
และไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
อ่านเผิน ๆ เรื่องนี้เป็นอุปมาที่พูดแรงมาก
ประเด็นสำคัญในที่นี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่? โดยเราจะศึกษาเป็นสองประเด็นใหญ่คือ
ประเด็นอะไรบ้างที่เป็นคำตรัสของพระเยซู และประเด็นอะไรบ้างที่ไม่ได้เป็นคำตรัสของพระเยซู
ประเด็นอะไรบ้างที่พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตรัส
1. ความมั่งคั่งไม่เป็นความบาป
เงินทอง หรือ
ความมั่งคั่งในตัวของมันเองไม่ใช่ความบาป การที่เรามีเงินไม่ได้เป็นความบาป เงินทอง
ความมั่งคั่งมิได้บ่งชี้ว่าเราเป็นคนบริสุทธิ์แค่ไหน และก็มิได้เป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเรามากน้อยกว่าคนอื่นหรือไม่ จำนวนเงินทอง หรือ ทรัพย์สินที่เรามีมิใช่ตัวชี้วัดว่า
พระเจ้าโปรดปรานเราหรือไม่ เพราะดวงอาทิตย์ของพระผู้ทรงสร้างส่องสว่างแก่ทั้งคนดีและคนชั่วเสมอกัน
(มัทธิว 5:45)
2. ไม่ใช่สิ่งที่ผิดที่เราจะประหยัดอดออมสำหรับอนาคตของเรา
เราอยู่ในยุคที่มีการเกษียณอายุจากการทำงาน
เราต้องมีแผนการและประหยัดสำหรับอนาคตของเรา รายได้ที่เราได้จากการทำงานในวันนี้เราเก็บออมบางส่วนสำหรับใช้จ่ายเมื่อเราเกษียณอายุแล้ว
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งดีที่ควรทำ และพระเยซูคริสต์ก็ไม่สอนว่าเราไม่ควรทำสิ่งนี้
3. เราต้องทำงานจนวันตายและไม่เคยมีช่วงเวลาที่จะมีความสุขกับผลผลิตที่ได้จากแรงงานของเรา
ชายมั่งคั่งในเรื่องอุปมาทำสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง
เขาเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมากมายแสดงว่าเขาทำงานหนัก เป็นการยากลำบากมากที่เราจะได้ผลิตผลมากมายจากความเกียจคร้าน
แสดงว่าชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่ขยัน มีวินัยชีวิตในการทำงาน และมีความพยายามอย่างสูงเขาจึงได้รับผลผลิตมากมาย
พูดกันแบบตรงไปตรงมา ถ้าเราเป็นนายจ้าง
เราคงต้องการคนงานแบบนี้มิใช่หรือ? พระเจ้าจะไม่มีปัญหากับเรา
ถ้าเราทุ่มเททำงานหนักแล้วมีความสุขชื่นชมกับผลผลิตที่ได้รับ พระธรรมลูกา 10:7 กล่าวชัดว่า คนที่ทำงานควรได้รับค่าจ้างของตน ชายเศรษฐีคนนี้สมควรที่เขาจะมีความสุขกับงานหนักที่เขาได้ทำ
ซึ่งรวมถึงเราทุกคนด้วย ในเมื่อเราทำงานหนักไม่เป็นความผิดบาปอย่างไรเลยที่เราจะมีความสุขจากผลงานที่เราได้รับ
จะมีโอกาสไปพักผ่อน รับประทานอาหารอย่างดี ไปท่องเที่ยว หรือทำในสิ่งที่ให้ความสุขแก่ตนเอง
พระเจ้าไม่มีปัญหากับเราที่ทำเช่นนั้น
แล้วพระเยซูคริสต์ได้ตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง
ความมั่งคั่งในทรัพย์สินบ้าง?
ประเด็นที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง
1. ให้ระมัดระวังเรื่องความโลภ
อย่างที่เรากล่าวมาแล้วว่า
พระเยซูไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความมั่งคั่งของชายคนนี้ (ในคำอุปมา) แต่พระองค์มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความโลภของชายคนนี้
เพราะความโลภคืออำนาจแห่งความชั่วร้ายที่หลอกลวง ที่ทำให้ชายคนนี้มีความคิดอยู่เสมอว่าเขายังมีมากไม่พอ
ขอให้เราพิจารณาใคร่ครวญพระวจนะสองตอนต่อไปนี้
“คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน
และคนรักสมบัติก็ไม่อิ่มกับผลตอบแทน นี่ก็อนิจจังด้วย” (ปัญญาจารย์ 5:10)
“เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยของท่านคือ
การผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่วและความโลภ
ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ” (โคโลสี 3:5)
ปัญหาที่ชายคนนี้ในคำอุปมาต้องประสบนั้นเป็น
“รูปเคารพ” ตัวหนึ่ง ความโลภในตัวของเขาทำให้เขาไปไว้วางใจและนมัสการความมั่งคั่งของทรัพย์สินเงินทอง
เขาบูชาความมั่งคั่งของเขาและนี่เป็นประเด็นปัญหาหนึ่งของเขา ดังนั้นจงระมัดระวังอำนาจของความโลภ
2. หลอกลวงตนเองด้วยความมั่งคั่ง
สิ่งที่ท้าทายประการหนึ่งในการที่เรามีทรัพย์มากมายคือ
ความมั่งคั่งจะสร้างความรู้สึก “มั่นคง” ในตนเอง มันทำให้ความเชื่อของเราเกิดความพร่ามัวในชีวิต
ไปหลงติดยึดกับยศ ตำแหน่ง ทำให้เราห่างไกลออกไปจากความจำเป็นพึ่งพิงในพระเจ้า
ชายคนนี้คิดว่าเขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิต
แต่อย่างไรก็ตาม
การที่เขาคิดเช่นนี้เพราะเขาคิดจากสิ่งที่เขาเห็นในปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้น
สิ่งที่เขามองไม่เห็นคือชีวิตนิรันดร์ เงินทองของเขาปิดตาเขาจนมองไม่เห็นสัจจะความจริงในการเตรียมชีวิตสำหรับชีวิตนิรันดร์
กล่าวคืออย่าคิดวางแผนเพื่อชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น แต่ต้องแน่ใจว่าเราได้วางแผนชีวิตของเราสำหรับชีวิตนิรันดร์ด้วย
3. อย่าสั่งสมเพื่อตนเอง
ปัญหาส่วนหนึ่งของชายคนนี้คือ
เขามีมากมายเกินความจำเป็นในชีวิต เขามีมากมายจนไม่มีที่ที่จะเก็บสิ่งที่เขามี ในสถานการณ์เช่นนี้เราคาดหวังว่าเขาจะพูดว่า เรามีทรัพย์สินมากเกินกว่าที่เราจำเป็นสำหรับเรา
เราจะช่วยใครได้บ้างจากความมั่งคั่งที่ฉันมีอยู่ แต่มิใช่เช่นนั้น เขากลับพูดว่า เราจะสร้างยุ้งฉางที่ใหญ่กว่านี้
คำตอบของเขาแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวในจิตใจของเขา
เขาสนใจแต่สิ่งที่เขาจะได้ พระพรที่เขาจะได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องสำนึกและตระหนักชัดในพระพรที่พระเจ้าประทานแก่เรา
มิใช่ประทานเพื่อให้เรามาเก็บกักเพื่อตนเอง แต่พระเจ้าอวยพระพรแก่เราเพื่อเราจะได้เป็นพระพรสำหรับคนอื่น
ๆ เขามองข้ามเรื่องนี้ หรือ เขาใจแคบไม่ยอมที่จะให้พระพรรั่วซึมถึงคนอื่นรอบข้าง
4. ตระหนักรู้ชัดถึงแหล่งที่มาของสิ่งต่าง
ๆ ในชีวิตของเรา
ชายคนนี้คิดว่า
ความมั่งคั่งร่ำรวยของเขาเป็นผลจากการที่เขาทำงานด้วยมือของเขา เขาได้รับพระพรเพราะเขาทำงาน
ในขณะที่สัจจะความจริงคือ การทำงานเป็นสิ่งที่เราประจักษ์เห็นชัด แต่เขาลืมไปว่าพระเจ้าคือผู้ที่ให้ความสามารถในการทำงานแก่เขา
แต่เราต้องตระหนักชัดว่า ความสามารถที่ทำให้จนเกิดความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากตัวของเราเอง
สติปัญญา ศักยภาพ ตะลันต์ และทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า พระผู้ทรงสร้างเรา และเป็นแหล่งแห่งพระพรความสามารถในชีวิตของเรา
และที่สำคัญคือ พระเจ้าเป็นผู้อวยพระแก่เรามิใช่ความเก่งและการทำงานหนักของเราเอง
5. มีชีวิตอีกมากมาย
สิ่งที่เศร้าสลดในชีวิตของชายคนนี้คือ
เขาใช้พลังชีวิตของเขาทั้งหมดกับการแสวงหา สะสม กักตุนทรัพย์สินเงินทอง เก็บกักพระพรของพระเจ้า
เขาไม่เคยชื่นชมในความสุขกับทรัพย์สินที่เขามี เพราะชีวิตของเขาจบสิ้นก่อนที่จะได้รับความสุขชื่นชมจากทรัพย์สิ้นเหล่านั้น
เมื่อกลับมาพิจารณาชีวิตของเรา เราได้ตระหนักรับรู้มากแค่ไหนถึงคุณค่า หรือ
ความสุขชื่นชมที่เราประสบพบเจอในชีวิต
มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า ชายคนหนึ่งอธิษฐานขอต่อพระเจ้าให้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้เขามีความสุขชื่นชมในชีวิต
พระเจ้าตรัสกับชายคนนั้นว่า “ไม่... แต่เราจะประทานชีวิตแก่เจ้า ดังนั้น เจ้าสามารถที่จะชื่นชมและมีความสุขในทุกสิ่ง”
มีทรัพย์สินเงินทองเพื่อจะมีความสุขในชีวิต หรือ มีชีวิตเพื่อจะมีความสุข?
ขอสรุปความหมายของอุปมาเรื่องนี้ด้วยคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่กล่าวใน
มัทธิว 6:19-21 ว่า
[19] “อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในโลกที่ซึ่งแมลงและสนิมอาจทำลายได้และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้
[20] แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้
[21] เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”
(อมธ.)
วันนี้ขอภาวนาอธิษฐานว่า
เราจะเป็นคนที่มั่งคั่งในพระเจ้า เพื่อเป็นผู้นำพระพรไปยังคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติสำหรับตนในสวรรค์
เป็นความมั่งคั่งที่เราสามารถชื่นชมด้วยความสุขตลอดชีวิตนิรันดร์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น