ในชีวิตจริงของเราท่านต่างพบความจริงว่า
เราไม่รู้อะไรต่อมิอะไรหลายเรื่อง ยิ่งในภาวะวิกฤตินี้เรามีคำถามสำคัญ ๆ มากมายที่ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้
เมื่อเราต้องประสบกับเรื่องที่เราถามแล้วไม่ได้คำตอบ สมองเราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือ
(1)
ยอมรับในความไม่รู้ของเราด้วยจริงใจ หรือ
(2)
ลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง
เราพบว่า
ทางเลือก (2) คือทางที่คนส่วนใหญ่เลือก กล่าวคือเมื่อเผชิญกับความไม่รู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ผู้คนมักตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง
จากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่า
การเลือกที่ลงมือทำอะไรบางสิ่งบางอย่างทั้ง ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นอย่างไรจริง
หรือยังไม่รู้คำตอบ หรือ ข้อสรุปของคำถามนั้น แต่ผมเอง “คิดว่า” ตนเองพอจะรู้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ผม “คิดว่า”
ตนเองรู้นั้นมิใช่ความรู้ที่ถูกต้อง
ในความเป็นจริง
พระเจ้าทรงรู้ว่าทั้งท่านและผมไม่สามารถมีคำตอบสำหรับทุกคำถาม จริงแล้วเรามีคำตอบในเรื่องต่าง
ๆ ไม่มากมายหลายเรื่องเท่าใดหรอก และพระเจ้าทรงล่วงรู้ด้วยว่าในความไม่รู้ของเราเราเกิดความกลัว
แล้วก็ไม่กล้าที่จะยอมรับความเป็นจริงว่าเราไม่รู้ ดังนั้น
พระเจ้าจึงประทานพระสัญญาแก่เราว่า...
"แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา
ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ
แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ" (ยากอบ 1:5 มตฐ.)
จากพระธรรมข้อนี้
ช่วยให้ผมยอมรับความจริงในความไม่รู้ได้ง่ายขึ้น
ยากอบได้กล่าวด้วยการดลใจจากพระเจ้า
และได้ให้ความมั่นใจแก่เราในหลายประเด็นด้วยกันดังนี้
1)
เราไม่ได้รู้เสียทุกเรื่อง
2)
แต่พระเจ้าทรงรู้ในทุกเรื่อง
3)
เราสามารถที่จะทูลขอพระปัญญาจากพระองค์
4)
และพระเจ้าจะไม่ตำหนิต่อว่าเราที่ไม่รู้
5)
แต่พระองค์พอพระทัยที่จะให้คำตอบแก่เรา
เราจะไม่รู้ว่าจะทำอะไร
จะทำอย่างไร ถ้าเราไม่ยอมรับว่า “เราไม่รู้เรื่องอะไร” ถ้าเรากลัวที่จะทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระเจ้า
แต่ถ้าเรากล้าที่จะทูลขอพระปัญญาจากพระองค์ให้ทรงช่วยเรา
มิเพียงแต่พระองค์จะตอบรับที่จะช่วยเราเท่านั้น
แต่ท่านจะมีประสบการณ์ตรงกับความดีงามและพระทัยกว้างขวางของพระเจ้าที่กระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของท่าน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น